ภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2554 และให้มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2554 แล้วนั้น บรรดาพรรคการเมืองและนักเลือกตั้งทั้งหลายทุกพรรค ต่างระริกระรี้ตีปี๊บปั่นราคาสร้างกระแสความน่าสนใจพรรคการเมืองของตน แข่งขันกันเสนอนโบายที่เข็นออกมาขายกับประชาชน และแย่งชิงกันเปิดตัวผู้สมัคร สร้างภาพหาความนิยมหวังดึงความสนใจของประชาชนเข้าสู่การเลือกตั้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคประชาธิปัตย์กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดูจะออกอาการโล่งใจที่สามารถลากดึงประเทศเข้าสู่การเลือกตั้งได้ อาศัยเหตุชุลมุนทางการเมืองหลบปัญหาและปัดความรับผิดชอบไปชั่วขณะ ภายใต้ข้ออ้างว่าเป็น “รัฐบาลรักษาการ” หลังจากอนุมัติโครงการและงบประมาณผูกพันข้ามปีนับร้อยโครงการ มูลค่านับแสนล้านบาท ให้กับหน่วยงานในความรับผิดชอบและฐานคะแนนเสียงของตนกับพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อเตรียมกระสุนดินดำไว้ใช้ในการเลือกตั้งแบบเต็มพิกัด สู้กับพรรคเพื่อไทยอย่างสมน้ำสมเนื้อหรือเหนือกว่าด้วยซ้ำ
ปัญหาของประเทศไทยวันนี้ก็คือ การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงภายใต้การจัดการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดที่มีนายอภิชาต สุขัคคานนท์ เป็นประธาน ซึ่งเคยมีผลงานการจัดการเลือกตั้งทั่วไป ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 23 ธันวามคม 2550 ผลงานก็เป็นที่ประจักษ์ว่าจัดการเลือกตั้งได้ดีเรียบร้อยหรือล้มเหลว การโกงและการซื้อเสียง ปัญหาความสกปรกในการเลือกตั้งเป็นอย่างไรคงไม่ต้องพูดถึงหรือย้อนความ ผมคิดว่าสังคมคงประเมินและตัดสินได้ว่า ไม่อาจเป็นความหวังหรือสร้างหลักประกันเรื่องการเมืองการเลือกตั้งที่โปร่งใส ยุติธรรมได้เลย นักการเมืองนักเลือกตั้งประเภทเขี้ยวลากดิน ที่สารพัดถนัดใช้วิชามารทั้งหลายยังตบแถวเรียงหน้าเข้าสภาฯ ได้เช่นเดิม และเป็นการเลือกตั้งที่ประเคนอำนาจคืนให้กับทักษิณและระบอบทักษิณอีกต่างหาก
การเลือกตั้งครั้งนี้ก็เป็นไปตามกลไกและระบอบการเลือกตั้งแบบเดิมๆ ที่นักการเมืองนักเลือกตั้งต่างมีความคุ้นเคยและถนัด แม้จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเปลี่ยนแปลงการเลือกตั้ง ส.ส.เขต เป็นแบบเขตเดียวเบอร์เดียว และการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อให้เป็นแบบบัญชีรายชื่อเดียวของแต่ละพรรค โดยนำทุกคะแนนมาคิดตัดการเลือกตั้งแบบสัดส่วนและแบ่งเป็นโซนออกไปก็ตาม การหาเสียง ซื้อเสียง และกลโกงต่างๆ หรือสารพัดวิชามารในการเลือกตั้ง ไม่ว่าการเปลี่ยนหีบเลือกตั้ง การพิมพ์บัตรเลือกตั้งปลอม การแก้คะแนน ซื้อกรรมการจัดการเลือกตั้ง อุ้มฆ่าจับหัวคะแนนคู่แข่งขัน สกัดคู่แข่งด้วยอำนาจมืดอิทธิพลเถื่อน กระทั่งลอบสังหารคู่แข่งขัน ประมูลซื้อตัวทั้งก่อนและหลังทราบผลการเลือกตั้ง ล้วนแต่จะถูกนำมาใช้ในการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างหลีกเลี่ยงยาก
นักวิเคราะห์ทางการเมืองทั้งหลายรวมทั้งตัวผู้เขียนเองเชื่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะสกปรกสารพัดกลโกง จะใช้เงินมหาศาลมากกว่าทุกครั้งของการเลือกตั้งที่ผ่านมา และที่สำคัญจะเกิดความรุนแรงอาจนองเลือดก่อนวันเลือกตั้งระหว่างรณรงค์หาเสียง หรือแม้แต่ภายหลังการเลือกตั้ง ด้วยเหตุที่การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการช่วงชิงอำนาจของการเมืองสองขั้วที่มีความขัดแย้งสูง ใครพ่ายแพ้ก็มีสิทธิถูกเอาคืน เพราะเกมของการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจที่ผ่านมา เต็มไปด้วยเรื่องบุญคุณความแค้น เลือดและชีวิตของอีกฝ่ายที่สูญเสียและต้องการทวงคืน การชิงความได้เปรียบในการเป็นเสียงข้างมากและเป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาลเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องสู้กันแบบแตกหัก เพราะเบื้องลึกเบื้องหลังของอำนาจและผลประโยชน์ที่จะตามมา อันเกี่ยวเนื่องกับผลของการแพ้ชนะในการเลือกตั้ง มีมากมหาศาลและสลับซับซ้อนเหลือเกิน ทั้งเชื่อมโยงกับปัญหาความมั่นคงของชาติและสถาบันอีกด้วย
เนื่องจากฝ่ายหนึ่งที่อยู่ในอำนาจหวังรักษาอำนาจและต้องการเป็นผู้ชนะเท่านั้น จึงย่อมใช้ทุกกลไกที่ได้เปรียบเป็นเครื่องรับใช้การเลือกตั้ง ไม่ว่ากลไกมหาดไทย ส่วนราชการ ตำรวจ ทหาร นักเลงมาเฟีย และกลไกทางกฎหมายเล่นงานคู่แข่ง หรือกระทั่งแอบอ้างของสูงมาเอื้อประโยชน์ตนก็ทำ ซึ่งอีกฝ่ายก็รู้ทันและเข้าใจดีเนื่องจากตนก็เคยใช้มาก่อน ย่อมเตรียมการตอบโต้อย่างแน่นอน วันนี้สัญญาณความรุนแรงได้ปรากฏให้เห็นแล้ว ด้วยคดีลอบยิงบุคคล เล่นงานทางกฎหมายให้ถูกจองจำติดคุกตะราง และยังจะมีอื่นๆ อีกติดตามมามากมาย เหตุการณ์บ้านเมืองจึงไม่อาจวางใจได้เลย
ขณะเดียวกัน เมื่อหันมาพิจารณาปัจจัยด้านนโยบายที่แต่ละพรรคนำเสนอต่อประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย สองพรรคใหญ่ที่เป็นคู่แข่งสำคัญ ต่างก็ล้วนแต่เสนอนโยบายขายฝัน ใช้แผนการตลาดนำหน้า ช่วงชิงมวลชนด้วยนโยบายประชานิยมแบบลด แลก แจก แถม ขนานใหญ่ ทั้งหมดก็ล่อให้ประชาชนติดกับดักเป็นเหยื่อเสพติดนโยบายประชานิยม ทุกพรรคเห็นประชาชนเป็นเพียงลูกค้าของพรรคการเมือง จึงต่างแข่งขันกันเสนอนโยบายเอาใจสารพัด ด้วยการผลาญเงินภาษีประชาชนมาแจกเพื่อเอาใจแบบไม่ลืมหูลืมตา หน้ามืดตามัวหวังเพียงผลเฉพาะหน้า คือชัยชนะของการเลือกตั้งโดยมิได้คำนึงถึงความเสียหายของประเทศ
ปัญหาสำคัญๆ ของชาติไม่ว่าเรื่องเอกราชอธิปไตย ปัญหาไทยเสียดินแดนแก่เขมร การทุจริตคอร์รัปชันที่กัดกินบ้านเมือง ปัญหาคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริตของนักการเมือง ปัญหาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและภัยต่อความมั่นคงของชาติ กลายเป็นปัญหาที่ถูกละเลยไร้ความรับผิดชอบของนักการเมือง การเลือกตั้งสำหรับประเทศไทย ได้กลายเป็นเพียงพิธีกรรมเพื่อให้ประชาชนเลือกว่า จะเลือกนักการเมืองเลวกลุ่มไหนมาโกงกินบ้านเมือง ผลาญเงินภาษีของประชาชน
การยุบสภาและการเลือกตั้งของประเทศไทยที่กำลังจะมาถึง จึงเป็นการเลือกตั้งที่ไร้อนาคต ไม่ใช่ทางเลือกและคำตอบของคนไทย แม้จะมีวาทกรรมสวยหรูว่า “เป็นการคืนอำนาจแก่ประชาชน” เป็นกลไกของระบอบประชาธิปไตยก็ตาม ข้อเท็จจริงและความจริงอันเจ็บปวดที่สุดของคนไทยและประเทศไทยก็คือ “เราเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ไร้วุฒิภาวะที่สุด” และที่เลวร้ายที่สุดเป็นความอัปลักษณ์ทางการเมืองที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย อย่างที่คาดไม่ถึงก็คือ มันเกิดขึ้นในยุคที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” คนที่สร้างภาพแขวนป้ายว่าตนเป็นนักประชาธิปไตย แต่แท้จริงแล้วเรากำลังอยู่ในยุคประชาธิปไตยอันน่าสยดสยองและน่าสะพรึงกลัวที่สุด เพราะมันเป็น “เผด็จการในคราบประชาธิปไตย”
หากประชาชนไทยปล่อยให้เขากลับคืนสู่อำนาจอีกครั้ง ความเหิมเกริมและลำพองในอำนาจ คิดว่าตนเองถูกต้อง เพราะแม้สร้างความเลวร้ายกับบ้านเมืองถึงเพียงนี้ ข้ายังชนะการเลือกตั้ง วันนั้นเราอาจได้เห็น “ทรราชการเมือง” จากความไร้วุฒิภาวะระบอบประชาธิปไตยของประเทศเราเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคประชาธิปัตย์กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดูจะออกอาการโล่งใจที่สามารถลากดึงประเทศเข้าสู่การเลือกตั้งได้ อาศัยเหตุชุลมุนทางการเมืองหลบปัญหาและปัดความรับผิดชอบไปชั่วขณะ ภายใต้ข้ออ้างว่าเป็น “รัฐบาลรักษาการ” หลังจากอนุมัติโครงการและงบประมาณผูกพันข้ามปีนับร้อยโครงการ มูลค่านับแสนล้านบาท ให้กับหน่วยงานในความรับผิดชอบและฐานคะแนนเสียงของตนกับพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อเตรียมกระสุนดินดำไว้ใช้ในการเลือกตั้งแบบเต็มพิกัด สู้กับพรรคเพื่อไทยอย่างสมน้ำสมเนื้อหรือเหนือกว่าด้วยซ้ำ
ปัญหาของประเทศไทยวันนี้ก็คือ การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงภายใต้การจัดการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดที่มีนายอภิชาต สุขัคคานนท์ เป็นประธาน ซึ่งเคยมีผลงานการจัดการเลือกตั้งทั่วไป ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 23 ธันวามคม 2550 ผลงานก็เป็นที่ประจักษ์ว่าจัดการเลือกตั้งได้ดีเรียบร้อยหรือล้มเหลว การโกงและการซื้อเสียง ปัญหาความสกปรกในการเลือกตั้งเป็นอย่างไรคงไม่ต้องพูดถึงหรือย้อนความ ผมคิดว่าสังคมคงประเมินและตัดสินได้ว่า ไม่อาจเป็นความหวังหรือสร้างหลักประกันเรื่องการเมืองการเลือกตั้งที่โปร่งใส ยุติธรรมได้เลย นักการเมืองนักเลือกตั้งประเภทเขี้ยวลากดิน ที่สารพัดถนัดใช้วิชามารทั้งหลายยังตบแถวเรียงหน้าเข้าสภาฯ ได้เช่นเดิม และเป็นการเลือกตั้งที่ประเคนอำนาจคืนให้กับทักษิณและระบอบทักษิณอีกต่างหาก
การเลือกตั้งครั้งนี้ก็เป็นไปตามกลไกและระบอบการเลือกตั้งแบบเดิมๆ ที่นักการเมืองนักเลือกตั้งต่างมีความคุ้นเคยและถนัด แม้จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเปลี่ยนแปลงการเลือกตั้ง ส.ส.เขต เป็นแบบเขตเดียวเบอร์เดียว และการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อให้เป็นแบบบัญชีรายชื่อเดียวของแต่ละพรรค โดยนำทุกคะแนนมาคิดตัดการเลือกตั้งแบบสัดส่วนและแบ่งเป็นโซนออกไปก็ตาม การหาเสียง ซื้อเสียง และกลโกงต่างๆ หรือสารพัดวิชามารในการเลือกตั้ง ไม่ว่าการเปลี่ยนหีบเลือกตั้ง การพิมพ์บัตรเลือกตั้งปลอม การแก้คะแนน ซื้อกรรมการจัดการเลือกตั้ง อุ้มฆ่าจับหัวคะแนนคู่แข่งขัน สกัดคู่แข่งด้วยอำนาจมืดอิทธิพลเถื่อน กระทั่งลอบสังหารคู่แข่งขัน ประมูลซื้อตัวทั้งก่อนและหลังทราบผลการเลือกตั้ง ล้วนแต่จะถูกนำมาใช้ในการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างหลีกเลี่ยงยาก
นักวิเคราะห์ทางการเมืองทั้งหลายรวมทั้งตัวผู้เขียนเองเชื่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะสกปรกสารพัดกลโกง จะใช้เงินมหาศาลมากกว่าทุกครั้งของการเลือกตั้งที่ผ่านมา และที่สำคัญจะเกิดความรุนแรงอาจนองเลือดก่อนวันเลือกตั้งระหว่างรณรงค์หาเสียง หรือแม้แต่ภายหลังการเลือกตั้ง ด้วยเหตุที่การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการช่วงชิงอำนาจของการเมืองสองขั้วที่มีความขัดแย้งสูง ใครพ่ายแพ้ก็มีสิทธิถูกเอาคืน เพราะเกมของการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจที่ผ่านมา เต็มไปด้วยเรื่องบุญคุณความแค้น เลือดและชีวิตของอีกฝ่ายที่สูญเสียและต้องการทวงคืน การชิงความได้เปรียบในการเป็นเสียงข้างมากและเป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาลเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องสู้กันแบบแตกหัก เพราะเบื้องลึกเบื้องหลังของอำนาจและผลประโยชน์ที่จะตามมา อันเกี่ยวเนื่องกับผลของการแพ้ชนะในการเลือกตั้ง มีมากมหาศาลและสลับซับซ้อนเหลือเกิน ทั้งเชื่อมโยงกับปัญหาความมั่นคงของชาติและสถาบันอีกด้วย
เนื่องจากฝ่ายหนึ่งที่อยู่ในอำนาจหวังรักษาอำนาจและต้องการเป็นผู้ชนะเท่านั้น จึงย่อมใช้ทุกกลไกที่ได้เปรียบเป็นเครื่องรับใช้การเลือกตั้ง ไม่ว่ากลไกมหาดไทย ส่วนราชการ ตำรวจ ทหาร นักเลงมาเฟีย และกลไกทางกฎหมายเล่นงานคู่แข่ง หรือกระทั่งแอบอ้างของสูงมาเอื้อประโยชน์ตนก็ทำ ซึ่งอีกฝ่ายก็รู้ทันและเข้าใจดีเนื่องจากตนก็เคยใช้มาก่อน ย่อมเตรียมการตอบโต้อย่างแน่นอน วันนี้สัญญาณความรุนแรงได้ปรากฏให้เห็นแล้ว ด้วยคดีลอบยิงบุคคล เล่นงานทางกฎหมายให้ถูกจองจำติดคุกตะราง และยังจะมีอื่นๆ อีกติดตามมามากมาย เหตุการณ์บ้านเมืองจึงไม่อาจวางใจได้เลย
ขณะเดียวกัน เมื่อหันมาพิจารณาปัจจัยด้านนโยบายที่แต่ละพรรคนำเสนอต่อประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย สองพรรคใหญ่ที่เป็นคู่แข่งสำคัญ ต่างก็ล้วนแต่เสนอนโยบายขายฝัน ใช้แผนการตลาดนำหน้า ช่วงชิงมวลชนด้วยนโยบายประชานิยมแบบลด แลก แจก แถม ขนานใหญ่ ทั้งหมดก็ล่อให้ประชาชนติดกับดักเป็นเหยื่อเสพติดนโยบายประชานิยม ทุกพรรคเห็นประชาชนเป็นเพียงลูกค้าของพรรคการเมือง จึงต่างแข่งขันกันเสนอนโยบายเอาใจสารพัด ด้วยการผลาญเงินภาษีประชาชนมาแจกเพื่อเอาใจแบบไม่ลืมหูลืมตา หน้ามืดตามัวหวังเพียงผลเฉพาะหน้า คือชัยชนะของการเลือกตั้งโดยมิได้คำนึงถึงความเสียหายของประเทศ
ปัญหาสำคัญๆ ของชาติไม่ว่าเรื่องเอกราชอธิปไตย ปัญหาไทยเสียดินแดนแก่เขมร การทุจริตคอร์รัปชันที่กัดกินบ้านเมือง ปัญหาคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริตของนักการเมือง ปัญหาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและภัยต่อความมั่นคงของชาติ กลายเป็นปัญหาที่ถูกละเลยไร้ความรับผิดชอบของนักการเมือง การเลือกตั้งสำหรับประเทศไทย ได้กลายเป็นเพียงพิธีกรรมเพื่อให้ประชาชนเลือกว่า จะเลือกนักการเมืองเลวกลุ่มไหนมาโกงกินบ้านเมือง ผลาญเงินภาษีของประชาชน
การยุบสภาและการเลือกตั้งของประเทศไทยที่กำลังจะมาถึง จึงเป็นการเลือกตั้งที่ไร้อนาคต ไม่ใช่ทางเลือกและคำตอบของคนไทย แม้จะมีวาทกรรมสวยหรูว่า “เป็นการคืนอำนาจแก่ประชาชน” เป็นกลไกของระบอบประชาธิปไตยก็ตาม ข้อเท็จจริงและความจริงอันเจ็บปวดที่สุดของคนไทยและประเทศไทยก็คือ “เราเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ไร้วุฒิภาวะที่สุด” และที่เลวร้ายที่สุดเป็นความอัปลักษณ์ทางการเมืองที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย อย่างที่คาดไม่ถึงก็คือ มันเกิดขึ้นในยุคที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” คนที่สร้างภาพแขวนป้ายว่าตนเป็นนักประชาธิปไตย แต่แท้จริงแล้วเรากำลังอยู่ในยุคประชาธิปไตยอันน่าสยดสยองและน่าสะพรึงกลัวที่สุด เพราะมันเป็น “เผด็จการในคราบประชาธิปไตย”
หากประชาชนไทยปล่อยให้เขากลับคืนสู่อำนาจอีกครั้ง ความเหิมเกริมและลำพองในอำนาจ คิดว่าตนเองถูกต้อง เพราะแม้สร้างความเลวร้ายกับบ้านเมืองถึงเพียงนี้ ข้ายังชนะการเลือกตั้ง วันนั้นเราอาจได้เห็น “ทรราชการเมือง” จากความไร้วุฒิภาวะระบอบประชาธิปไตยของประเทศเราเอง