ตลาดหลักทรัพย์ ชี้ ยุบสภาไม่กระทบแผนแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ เชื่อรัฐบาลใหม่เดินหน้าต่อเพื่อพัฒนาตลาดทุนไทย แย้มดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น จากงบกำไร บจ.ไตรมาส 1 ออกมาดี “ชนิตร” เผยครึ่งปีแรกเพิ่มมาร์เกตแคปจากหุ้นใหม่ 4-5 หมื่นล้านบาท มั่นใจสิ้นปีแตะ 1 แสนล้านบาท ด้าน “ก้องเกียรติ” ลั่นให้ทุกฝ่ายยอมรับผลการเลือกตั้ง แนะทำนโยบายประชานิยมเชิงสร้างสรรค์
นายสมพล เกียรติไพบูลย์ ประธานคณะกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากการยุบสภานั้นไม่มีผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย จาการที่นักลงทุนได้รับทราบข้อมูลล่วงหน้าและสะท้อนไปในดัชนีแล้ว และการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยพื้นที่ดี กำไรของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส1/54 ออกมาดี และเศรษฐกิจไทยมีการเติบโต ส่วนความคืบหน้าในเรื่องการแปลงสภาพของตลาดหลักทรัพย์ฯนั้นขณะนี้ร่างได้ผ่านการพิจารณาของทางกฤษฎีกาแล้ว และเชื่อว่าหากมีการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาใหม่ เชื่อว่า จะมีการดำเนินแปลงสภาพตลาดหลักทรัพย์ฯต่อไปเพราะทุกฝ่ายตระหนักถึงความสำคัญของตลาดทุนจากที่ทุกประเทศนั้นตลาดทุนเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจของประเทศ
ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ว่าพรรคไหนจะเข้ามาเป็นรัฐบาลเชื่อว่าจะมีการพัฒนาประเทศต่อไปอย่างสร้างสรรค์จากที่ผ่านมาประเทศไทยมีปัญหาจากความขัดแย้งทางการเมือง แต่ในด้านเศรษฐกิจนั้นไทยมีปัญหาและจากการที่ไทยเป็นประเทศที่ผลิตสินค้าเกษตรนั้นจะได้ประโยชน์จากการที่ราคาสินค้าเกษตร อาหารได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น และรัฐบาลใหม่ควรที่จะให้ความสำคัญต่อการทองเที่ยวของไทย โดยการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางในการท่องเที่ยวหากมีการดำเนินการดีก็จะสร้างรายได้ที่กับประเทศ และประเทศไทยมีศักยภาพที่จะดึงดูดการลงทุนตรงจากประเทศ จากกที่ราคาที่อยู่อาศัย และราคาที่ดินไทยยังถูกกว่าประเทศเพื่อนบ้านถึง 10 เท่า
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการกลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ปัจจุบันมีบริษัทที่พร้อมที่จะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) 8-10 บริษัท และพร้อมที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯและตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) 4-5 บริษัท จึงทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) ในช่วงครึ่งปีนี้อยู่ที่ 4-5 หมื่นล้านบาท และเป็นไปตามเป้าหมายที่ตลาดหลักทรัพย์ตั้งไว้ที่จะเพิ่มมาร์เกตแคปจากหุ้นใหม่เข้าจดทะเบียนปีนี้ 1 แสนล้านบาท
“การเมืองไทยเข้าสู่การปรับเปลี่ยนรัฐบาล เชื่อว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่อการเข้าจดทะเบียนของบริษัทใหม่ เพราะ ขณะนี้มีบริษัทพร้อมที่จะเข้าจดทะเบียนแล้ว 4-5 บริษัท และมีบริษัทจะยื่นไฟลิ่งอีก” นายชนิตร กล่าว
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า หากจะให้คะแนนรัฐบาลสมัยของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยู่ในระดับกลางๆ และไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นอย่างไรใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาลนั้น อยากให้ทุกฝ่ายยอมรับผล จากที่คนส่วนใหญ่ของประเทศได้มีการลงคะแนนเสียงเลือกให้เข้ามาทำหน้าที่พัฒนาประเทศ ซึ่งอยากเห็นรัฐบาลที่จะมีการจัดตั้งขึ้นมาใหม่นั้นมีการใช้นโยบายประชานิยมในเชิงสร้างสรรค์ในการเพิ่มศักยภาพให้กับประชาชนมีการสร้างรายได้ของตน มีการลงทุนในโครงสร้างฟื้นฐานที่ครอบคลุมครบวงจรในเรื่องการขนส่ง และระบบเทคโนโลยี
นายสมพล เกียรติไพบูลย์ ประธานคณะกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากการยุบสภานั้นไม่มีผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย จาการที่นักลงทุนได้รับทราบข้อมูลล่วงหน้าและสะท้อนไปในดัชนีแล้ว และการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยพื้นที่ดี กำไรของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส1/54 ออกมาดี และเศรษฐกิจไทยมีการเติบโต ส่วนความคืบหน้าในเรื่องการแปลงสภาพของตลาดหลักทรัพย์ฯนั้นขณะนี้ร่างได้ผ่านการพิจารณาของทางกฤษฎีกาแล้ว และเชื่อว่าหากมีการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาใหม่ เชื่อว่า จะมีการดำเนินแปลงสภาพตลาดหลักทรัพย์ฯต่อไปเพราะทุกฝ่ายตระหนักถึงความสำคัญของตลาดทุนจากที่ทุกประเทศนั้นตลาดทุนเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจของประเทศ
ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ว่าพรรคไหนจะเข้ามาเป็นรัฐบาลเชื่อว่าจะมีการพัฒนาประเทศต่อไปอย่างสร้างสรรค์จากที่ผ่านมาประเทศไทยมีปัญหาจากความขัดแย้งทางการเมือง แต่ในด้านเศรษฐกิจนั้นไทยมีปัญหาและจากการที่ไทยเป็นประเทศที่ผลิตสินค้าเกษตรนั้นจะได้ประโยชน์จากการที่ราคาสินค้าเกษตร อาหารได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น และรัฐบาลใหม่ควรที่จะให้ความสำคัญต่อการทองเที่ยวของไทย โดยการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางในการท่องเที่ยวหากมีการดำเนินการดีก็จะสร้างรายได้ที่กับประเทศ และประเทศไทยมีศักยภาพที่จะดึงดูดการลงทุนตรงจากประเทศ จากกที่ราคาที่อยู่อาศัย และราคาที่ดินไทยยังถูกกว่าประเทศเพื่อนบ้านถึง 10 เท่า
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการกลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ปัจจุบันมีบริษัทที่พร้อมที่จะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) 8-10 บริษัท และพร้อมที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯและตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) 4-5 บริษัท จึงทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) ในช่วงครึ่งปีนี้อยู่ที่ 4-5 หมื่นล้านบาท และเป็นไปตามเป้าหมายที่ตลาดหลักทรัพย์ตั้งไว้ที่จะเพิ่มมาร์เกตแคปจากหุ้นใหม่เข้าจดทะเบียนปีนี้ 1 แสนล้านบาท
“การเมืองไทยเข้าสู่การปรับเปลี่ยนรัฐบาล เชื่อว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่อการเข้าจดทะเบียนของบริษัทใหม่ เพราะ ขณะนี้มีบริษัทพร้อมที่จะเข้าจดทะเบียนแล้ว 4-5 บริษัท และมีบริษัทจะยื่นไฟลิ่งอีก” นายชนิตร กล่าว
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า หากจะให้คะแนนรัฐบาลสมัยของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยู่ในระดับกลางๆ และไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นอย่างไรใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาลนั้น อยากให้ทุกฝ่ายยอมรับผล จากที่คนส่วนใหญ่ของประเทศได้มีการลงคะแนนเสียงเลือกให้เข้ามาทำหน้าที่พัฒนาประเทศ ซึ่งอยากเห็นรัฐบาลที่จะมีการจัดตั้งขึ้นมาใหม่นั้นมีการใช้นโยบายประชานิยมในเชิงสร้างสรรค์ในการเพิ่มศักยภาพให้กับประชาชนมีการสร้างรายได้ของตน มีการลงทุนในโครงสร้างฟื้นฐานที่ครอบคลุมครบวงจรในเรื่องการขนส่ง และระบบเทคโนโลยี