ทิพยประกันภัย ลั่นพร้อมแข่งขันหลังเปิดเสรีทางการเงิน เตรียมยกเครืององค์กรใหม่ ทั้ง ระบบ เทคโนโลยี บุคคลากร ระบุบริษัทต่างชาติอาจเข้ามามีส่วนในธุรกิจประกันภัยมากขึ้นหลัง คปภ.ประกาศเกณฑ์ดำรงเงินกองทุนใหม่ ขณะเดียวกันมั่นใจรัฐบาลเปลี่ยนกระทบแค่ระยะสั้น เหตุอาจมีการชะลอของการก่อสร้างโครางสร้างพื้นฐานบ้าง ส่วนระยะยาวหวั่นประชานิยมเปลี่ยนความคิดคนไทยไม่ต้องพึ่งประกันภัยอีก
นายสมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัททิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและรัฐบาลอาจมีผลกระทบต่อธรกิจประกันภัยบ้าง โดยโปรเจกต์ในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานอาจถูกชะลอ ซึ่งหากโครงสร้างพื้นฐานชะลอตัวลงแนวโน้มเศรษฐกิจในส่วนนั้นก็อาจชะลอตัวลงไป อย่างไรก็ตามการเมืองจะเป็นเพียงผลกระทบระยะส้นเท่านั้น แต่ผลกระทบระยะยาวที่เห็นได้จริงๆคือการที่รัฐบาลหรือพรรคการเมืองในปัจจุบันใช้นโยบายประชานิยมกันมากขึ้น เป็นการสร้างสัวสดิการพื้นฐานให้กับประชาชน
"ต้องยอมรับว่าไทยในอดีตที่ผ่านมาคนต้องหาโปรเทคชันให้กับตน และคนที่มีศักยภาพทางการเงินถึงจะเข้าถึงระบบนี้ได้ แต่พอรัฐขยายโครงการประชานิยมให้สัวสดิการแก่ประชาชนมากขึ้น หลายๆ สัวสดิการที่ให้แก่ประชาชนทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งโอเค และอาจไม่มีความจำเป็นต้องหาซื้อประกันภัยเอง"นายสมพรกล่าว
ส่วนความพร้อมของการเปิดเสรีทางการเงินนั้น นายสมพร กล่าวว่า ธุรกิจประกันภัยถือเป็นส่วนหนึงของภาคการเงิน และจะต้องถูกเปิดเสรีในอนาคต บริษัทจึงต้องมีการปรับตัวอย่างมาก ซึ่งทิพยประกันภัยเป็นบริษัทใหญ่มีโครงสร้างที่ใหญ่การปรับตัวจึงต้องมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพในการแข่งขันได้ บริษัทจึงพยายามที่จะเปลี่ยนตัวเองจากความเป็นรัฐวิสาหกิจและวัฒนธรรมขององค์กรใหม่ เพื่อให้สามารถรองรับการแข่งขันจากต่างชาติที่มีความพร้อมทั้งด้านศักยภาพและเทคโนโลยี
ทั้งนี้ การปรับตัวของบริษัทจึงต้องเน้นตั้งแต่กระบวนการทำงาน ระบบ ที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เกิดความกระชับรวดเร็วและสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ประกันภัยได้อย่างน่าพึ่งพอใจ
นอกจากการปรับการทำงานแล้ว ระบบเทคโนโลยีต่างๆ จะต้องมีการปรับให้ทันสมัยมีประสะทธิภาพ รวดเร็ว และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยจะมีการนำเทคโนโลยีเข้าสู่คนมากขึ้นเช่น โซเชียลเนตเวิร์ค เพื่อการให้บริการที่ดี
ส่วนสุดท้ายที่จำเป็นที่จะต้องปรับคือ บุคคลากร ซึ่งหลังจากนี้จะต้องมีการอบรม และปรับเปลี่ยนทัศนคติกันใหม่หมดเพื่อให้พนักงานของเรามีความพร้อมในการแข่งขัน และการให้บริการ เพื่อสร้างองค์กรแห่งความเป็นเลิศขึ้นมา
นายสมพร กล่าวอีกว่า นอกจากการเปิดเสรีในอนาคตแล้ว แนวโน้มธุรกิจประกันภัยในปัจจุบันอาจมีการควบรวมกัน หรือ ถูกบริษัทต่างชาติเข้ามาเทคโอเวอร์มากขึ้น ได้เนื่องจากกฎของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) ให้มีดำรงเงินกองทุนตามหลัก RBC(ลิสต์เบสแคปปิตอล) จะทำให้แต่ละบริษัทมีต้นทุนที่สูงขึ้น โดยนับเป็นการจัดระเบียบความแข็งแกร่งของบริษัทประกัน ซึ่งในระยะสั้นดูเหมือนจะเป็นอุปสรรค และต้นทุนของบริษัทประกันภัย แต่ในระยะยาวจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนผู้บริโภค
ทั้งนี้ เกณฑ์ดังกล่าวจะทำให้บริษัทประกันภัยขนาดเล็กเผชิญปัญหาและนำมาซึ่งการควบรวมกัน รวมไปถึงการโดนเทคโอเวอร์โดยบริษัทข้ามชาติได้เพื่อความอยู่รอดของบริษัทตนเอง
นายสมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัททิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและรัฐบาลอาจมีผลกระทบต่อธรกิจประกันภัยบ้าง โดยโปรเจกต์ในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานอาจถูกชะลอ ซึ่งหากโครงสร้างพื้นฐานชะลอตัวลงแนวโน้มเศรษฐกิจในส่วนนั้นก็อาจชะลอตัวลงไป อย่างไรก็ตามการเมืองจะเป็นเพียงผลกระทบระยะส้นเท่านั้น แต่ผลกระทบระยะยาวที่เห็นได้จริงๆคือการที่รัฐบาลหรือพรรคการเมืองในปัจจุบันใช้นโยบายประชานิยมกันมากขึ้น เป็นการสร้างสัวสดิการพื้นฐานให้กับประชาชน
"ต้องยอมรับว่าไทยในอดีตที่ผ่านมาคนต้องหาโปรเทคชันให้กับตน และคนที่มีศักยภาพทางการเงินถึงจะเข้าถึงระบบนี้ได้ แต่พอรัฐขยายโครงการประชานิยมให้สัวสดิการแก่ประชาชนมากขึ้น หลายๆ สัวสดิการที่ให้แก่ประชาชนทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งโอเค และอาจไม่มีความจำเป็นต้องหาซื้อประกันภัยเอง"นายสมพรกล่าว
ส่วนความพร้อมของการเปิดเสรีทางการเงินนั้น นายสมพร กล่าวว่า ธุรกิจประกันภัยถือเป็นส่วนหนึงของภาคการเงิน และจะต้องถูกเปิดเสรีในอนาคต บริษัทจึงต้องมีการปรับตัวอย่างมาก ซึ่งทิพยประกันภัยเป็นบริษัทใหญ่มีโครงสร้างที่ใหญ่การปรับตัวจึงต้องมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพในการแข่งขันได้ บริษัทจึงพยายามที่จะเปลี่ยนตัวเองจากความเป็นรัฐวิสาหกิจและวัฒนธรรมขององค์กรใหม่ เพื่อให้สามารถรองรับการแข่งขันจากต่างชาติที่มีความพร้อมทั้งด้านศักยภาพและเทคโนโลยี
ทั้งนี้ การปรับตัวของบริษัทจึงต้องเน้นตั้งแต่กระบวนการทำงาน ระบบ ที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เกิดความกระชับรวดเร็วและสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ประกันภัยได้อย่างน่าพึ่งพอใจ
นอกจากการปรับการทำงานแล้ว ระบบเทคโนโลยีต่างๆ จะต้องมีการปรับให้ทันสมัยมีประสะทธิภาพ รวดเร็ว และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยจะมีการนำเทคโนโลยีเข้าสู่คนมากขึ้นเช่น โซเชียลเนตเวิร์ค เพื่อการให้บริการที่ดี
ส่วนสุดท้ายที่จำเป็นที่จะต้องปรับคือ บุคคลากร ซึ่งหลังจากนี้จะต้องมีการอบรม และปรับเปลี่ยนทัศนคติกันใหม่หมดเพื่อให้พนักงานของเรามีความพร้อมในการแข่งขัน และการให้บริการ เพื่อสร้างองค์กรแห่งความเป็นเลิศขึ้นมา
นายสมพร กล่าวอีกว่า นอกจากการเปิดเสรีในอนาคตแล้ว แนวโน้มธุรกิจประกันภัยในปัจจุบันอาจมีการควบรวมกัน หรือ ถูกบริษัทต่างชาติเข้ามาเทคโอเวอร์มากขึ้น ได้เนื่องจากกฎของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) ให้มีดำรงเงินกองทุนตามหลัก RBC(ลิสต์เบสแคปปิตอล) จะทำให้แต่ละบริษัทมีต้นทุนที่สูงขึ้น โดยนับเป็นการจัดระเบียบความแข็งแกร่งของบริษัทประกัน ซึ่งในระยะสั้นดูเหมือนจะเป็นอุปสรรค และต้นทุนของบริษัทประกันภัย แต่ในระยะยาวจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนผู้บริโภค
ทั้งนี้ เกณฑ์ดังกล่าวจะทำให้บริษัทประกันภัยขนาดเล็กเผชิญปัญหาและนำมาซึ่งการควบรวมกัน รวมไปถึงการโดนเทคโอเวอร์โดยบริษัทข้ามชาติได้เพื่อความอยู่รอดของบริษัทตนเอง
