เอเจนซี - แม้นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะคาดหวังว่า การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นน่าจะเป็น “จุดเริ่มต้นใหม่” ของการเมืองไทย ทว่า ผลของมันก็อาจหนีไม่พ้นความวุ่นวาย ตลอดจนภาวะชะงักงันของนโยบายต่างๆ เนื่องจากทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมรับความพ่ายแพ้เช่นผู้ที่มีน้ำใจนักกีฬา
อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ยังเป็นผู้กำหนดทิศทางของกลุ่มเสื้อแดงที่ต่อต้านรัฐบาลปัจจุบัน ทั้งยังตั้งเจตนารมณ์ที่จะแก้แค้นผู้ที่ปฏิวัติโค่นอำนาจเขาเมื่อปี 2006 จนนำไปสู่การตั้งข้อหาทุจริตและยึดทรัพย์สินของตระกูลชินวัตรกว่า 46,000 ล้านบาท
“การเลือกตั้งครั้งนี้เหมือนเกมที่ถ้าชนะก็ชนะขาด ถ้าแพ้ก็แพ้หมดรูป และจะกระตุ้นให้เกิดการเผชิญหน้าและการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายมากขึ้นไปอีก” สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ อาจารย์ด้านรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าว
“ทักษิณ สัญญาว่าจะกลับมา คนที่เป็นศัตรูกับเขาก็เลยกลัวว่าเขาจะมาแก้แค้น ดังนั้น จึงพยายามหยุดเขาให้ได้ ถึงแม้สถานการณ์ตอนนี้จะยังควบคุมได้อยู่ แต่หลังการเลือกตั้งผ่านพ้นไป คงต้องเกิดการเผชิญหน้าโดยไม่มีทางเลี่ยง” สมชาย กล่าว
การเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม เป็นโอกาสที่นายกฯอภิสิทธิ์ จะได้พิสูจน์คะแนนนิยมของตนเอง หลังเข้ารับตำแหน่งผู้นำประเทศเมื่อปี 2008 ท่ามกลางคำครหาที่ว่า กองทัพเป็นผู้ประสานให้พรรคต่างๆ มาร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับประชาธิปัตย์
การที่ทักษิณไม่ยอมจากไปเงียบๆ หลังถูกปฏิวัติ ทำให้เสถียรภาพของการเมืองไทยสั่นคลอนมาโดยตลอด ทั้งยังทำให้เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มต่อต้าน “ผู้ดีเก่า” และทุกวันนี้ทักษิณก็ยังคงครองใจบรรดาคนยากคนจน แม้ว่าตัวเขาเองจะเป็นถึงอดีตมหาเศรษฐีโทรคมนาคมก็ตาม
คาดกันว่า ประชาธิปัตย์ และเพื่อไทย อาจไม่ได้รับชัยชนะเด็ดขาดในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง และคงต้องมีการจับขั้วระหว่างพรรคเล็กพรรคน้อย ซึ่งใส่ใจกับระบบอุปถัมภ์มากกว่านโยบาย นอกจากนี้ ยังเกิดข่าวลือเรื่องรัฐประหาร หรือข่าว “มือที่มองไม่เห็น” กำลังพยายามขัดขวางการเลือกตั้ง เพื่อรักษาสภาพในปัจจุบันเอาไว้
กลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งสนับสนุน ทักษิณ ยืนยันว่า จะเคารพผลการเลือกตั้ง ตราบใดที่การลงคะแนนเป็นไปอย่างถูกต้องโปร่งใส อย่างไรก็ตาม กองทัพและฝ่ายตุลาการมักออกมาต่อต้านผู้ที่ไม่เคารพขั้วอำนาจเก่า ซึ่งผูกอิทธิพลในการเมืองไทยมานานหลายทศวรรษ และด้วยเหตุนี้ จึงเชื่อได้ว่า กลุ่มเคลื่อนไหวระดับปลายแถวคงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ได้ง่ายๆ
พรรคเพื่อไทย และกลุ่มคนเสื้อแดง มองว่า อภิสิทธิ์ วัย 46 ปี เป็นเพียงหุ่นเชิดของฝ่ายสนับสนุนสถาบันกษัตริย์, ชนชั้นสูง และนายทหารระดับสูงที่เสียประโยชน์จากการปฏิรูปต่างๆ ของทักษิณ รวมถึงผู้ที่ไม่พอใจที่ทักษิณสามารถซื้อใจคนชนบทนับล้านๆ ด้วยนโยบายประชานิยม
นักวิเคราะห์มองว่า หากมีสัญญาณบ่งชี้ว่า กลุ่มอำนาจเหล่านี้เข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้ง คนเสื้อแดงก็อาจลุกฮือขึ้นอีก หรืออาจเกิดการรัฐประหารโดยกองทัพ ซึ่งเป็นเหมือนหน่วยกู้ภัยที่มา “รีเซ็ต” การเมือง เมื่อระบอบประชาธิปไตยใช้การไม่ได้แล้ว
ด้านกลุ่มคนเสื้อเหลือง ซึ่งเคยออกมาขับไล่รัฐบาลของทักษิณทั้ง 2 ชุด ก็คงไม่นิ่งดูดาย หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล และจะขอนิรโทษกรรมให้แก่ “นายใหญ่” ของพวกตน
“คนเสื้อเหลืองอาจไม่ชอบ อภิสิทธิ์ เท่าไหร่นัก แต่ก็ยังต้องพึ่งเขาอยู่” สมชาย กล่าว “ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะยอมให้ทักษิณกลับมา”
ในมุมของนักลงทุน ชัยชนะของประชาธิปัตย์จะช่วยสร้างความมั่นใจ ว่า นโยบายต่างๆ ที่ช่วยฟื้นฟูประเทศจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และความวุ่นวายทางการเมือง จะได้รับการสานต่อ ซึ่งเศรษฐกิจของไทยเจริญเติบโตขึ้นถึง 7.8 เปอร์เซ็นต์ ในปีที่ผ่านมา
“นักลงทุนส่วนใหญ่ มองว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ชุดใหม่จะมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด ตัวอภิสิทธิ์เองก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ มีมุมมองทางเศรษฐกิจที่ดี และหากอำนาจยังอยู่กับฝ่ายประชาธิปัตย์ ก็เชื่อแน่ว่า เสถียรภาพทางการเมืองจะเกิดขึ้นได้” แดนนี ริชาร์ดส ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จาก อินเทลลิเจนซ์ อีโคโนมิสต์ ยูนิต (อีไอยู) ระบุ
“ปัญหาหลักที่ต้องกังวล ก็คือ หากพรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล หรือมีการแทรกแซงหลังม่าน อาจจะเกิดความรุนแรงขึ้นอีก และการที่ ทักษิณ กลับมามีบทบาทจะบั่นทอนความสงบราบรื่นในการเลือกตั้งอย่างไม่ต้องสงสัย”
