มี 2 พรรคการเมือง คือ พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยเท่านั้น ณ ขณะนี้เป็นคู่ขับเคี่ยวกันว่าพรรคใดที่จะเป็นที่ 1 ได้เสียงมากที่สุด ได้โอกาสจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นฝ่ายค้านอยู่ขณะนี้
และน่าจะมีความพยายามหรือที่มักจะพูดกันว่ามีมือที่มองไม่เห็นจะกันท่ามิให้พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาล หาไม่ก็คงไม่ถามกันหรอกว่า จะต้องเป็นพรรคที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุดเท่านั้นหรือไม่ที่มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล การจัดตั้งรัฐบาลจะต้องเป็นพรรคที่ได้คะแนนเป็นอันดับ 1 หรืออันดับ 2 อันดับ 3 ไม่ได้เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ ก่อนหน้านี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคม มีเพียง 18 เสียง ก็เป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว เพราะสามารถรวบรวมพรรคการเมืองอื่นๆ แม้พรรคเหล่านั้นจะมี ส.ส.มากกว่าพรรคกิจสังคมมาร่วมรัฐบาล
แต่หลังจากนั้นเมื่อมีการเลือกตั้งเสร็จ พรรคใดได้คะแนนเสียงมากก็จะได้รับโอกาสในการดึงพรรคการเมืองอื่นๆ มาร่วมเป็นรัฐบาล ทำให้นายชวน หลีกภัย นายบรรหาร ศิลปอาชา พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้เป็นรัฐบาล
ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีรอบ 2 ไม่ต้องรอว่าคะแนนพรรคไทยรักไทยจะมากน้อยแค่ไหน เพราะรวมพรรคการเมืองอื่นๆ มาไว้ที่พรรคไทยรักไทยตั้งแต่ยังไม่เลือกตั้งแล้ว
หากมองตามโพลของสำนักต่างๆ ที่ออกมาขณะนี้ก็เชื่อว่าพรรคไทยรักไทยจะชนะการเลือกตั้งมีโอกาสได้เป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาล โดยจะดึงเอาพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อแผ่นดิน และพรรคเล็กพรรคน้อยอื่นๆ
ปล่อยให้พรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยเป็นฝ่ายค้าน เว้นแต่เสียงไม่พอก็อาจจะชักชวนให้พรรคภูมิใจไทยจกลับถิ่นเก่ามาร่วมเป็นรัฐบาลก็อาจจะเป็นไปได้ พรรคการเมืองไหนๆ ต่างก็ต้องการร่วมเป็นรัฐบาลด้วยกันทั้งนั้น
แต่ถ้าหากพรรคเพื่อไทย (ซึ่งคิดไม่เป็นต้องให้ทักษิณช่วยคิด) ไม่สามารถชักชวนให้พรรคการเมืองอื่นๆ มาร่วมได้ก็เป็นโอกาสของพรรคอันดับ 2 อันดับ 3
ไม่แน่นะครับ นายกรัฐมนตรีคนต่อไปอาจจะเป็นนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หรือไม่ก็นายชัย ชิดชอบ ก็ได้ อย่าเพิ่งมองข้ามไปว่าจะต้องเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นจะเป็นได้
ยิ่งได้เห็นฝีมือการบริหารราชการแผ่นดินในช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยิ่งจะง่ายสำหรับนายชวรัตน์ หรือนายชัย เพราะบริหารอย่างนายอภิสิทธิ์ ใครก็เป็นนายกรัฐมนตรีได้สบายมาก กล่าวคือ ไม่ต้องมีภาวะผู้นำ ไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องรักษาคำพูด ไม่ต้องห่วงใยคนไทย ฯลฯ
พรรคเพื่อไทยนั้นยังปิดเงียบอยู่ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี เขาเปิดโอกาสให้เดาว่าจะเป็น ย.ไหน ยิ่งลักษณ์ เยาวเรศ หรือเยาวภา
ย.ไหนก็เป็นนายกรัฐมนตรีได้ทั้งนั้นแหละครับ ถ้าพิจารณาการทำงานการบริหารงานในมาตรฐานของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ที่เคยขู่ชาวบ้านได้ผลมาแล้วคือ “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” ของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ไม่มีใครเขาสนใจหรอกครับ เรา หรือ เขา มันก็เลวพอกัน แย่พอกัน
พรรคประชาธิปัตย์มักจะพูดเก่ง อ้างหลักการ เมื่อคราวที่นายอภิสิทธิ์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ประกาศกฎเหล็ก 9 ข้อ ต้องยุติการเมืองเก่าที่ล้มเหลว ต้องบริหารประเทศด้วยธรรมาภิบาล
นายอภิสิทธิ์ได้ทำอะไรกับกฎเหล็ก 9 ข้อ ได้ทำให้การเมืองที่นายอภิสิทธิ์บอกว่าเป็นการเมืองเก่าที่ล้มเหลวยุติลงตรงไหน เห็นแต่นายอภิสิทธิ์ ทำทุกอย่างเพื่อให้ตนได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจอยากเท่านั้นเอง ยอมยกกระทรวงใหญ่ๆ ให้พรรคอื่นเพื่อเสียงสนับสนุน ยอมรับรัฐมนตรีที่พรรคร่วมรัฐบาลส่งมาไม่ว่ามันจะเป็นเมียน้อยใคร ไม่ว่าพ่อแม่มันจะทำมาหากินอย่างไรแม้กระทั่งขายเนื้อสด นายอภิสิทธิ์ก็ยอมให้ชูคออยู่ในคณะรัฐมนตรี
ธรรมาภิบาลที่นายอภิสิทธิ์พูดยิ่งน่าหัวร่อ เพราะตอนเป็นฝ่ายค้าน จี้ให้รัฐบาลจัดการกับเจ้าหน้าที่ที่ทำร้ายประชาชนที่หน้าสภาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 แต่พอ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดในตอนที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีกลับซุกเอาไว้ในลิ้นชัก ไม่พูดถึงเลยสักแอะในขณะนี้
ความสามารถในการพูด การอภิปราย การปาฐกถากลายเป็นยอดนักตอแหลเท่านั้นเองเท่านั้นจริงๆ
แล้ววันนี้ยังไม่รู้ตัวเอง อยากกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก ฝันไปเถอะ
คราวนี้หันมาดูพรรคเพื่อไทย การได้เลือกตั้งก็คงจะทำให้สงครามไพร่โค่นอำมาตย์จบลง เพราะเป็นไปตามที่เรียกร้องเมื่อเดือนเมษายน/พฤษภาคม ศกก่อนแล้ว
ผลของการเลือกตั้งจะเป็นไปตามที่เขาเชื่อหรือไม่ คือ ถ้าหากพวกเขาชนะก็จะเป็นประชาธิปไตย ถ้าหากได้จัดตั้งรัฐบาลก็ยิ่งจะเห็นประชาธิปไตยเบ่งบาน ชูช่ออรชรกันใหญ่
ที่สำคัญก็คือ การนิรโทษกรรมให้ทักษิณ การทำให้ทักษิณพ้นคุก สำนวนฟ้องสำนวนความผิดต้องพ้นจากสารบบศาล
ลงมือเมื่อไร ประชาชนก็จะออกมาคัดค้านเมื่อนั้น เช่นเดียวกับที่สมัคร สมชาย เจอมาแล้ว
บ้านเมืองก็จะถอยไปเหมือนเมื่อเลือกตั้ง 25 ธันวาคม 2550 อีก
การเลือกตั้งครั้งนี้มีกระแสโหวต โน ไม่เลือกใคร พรรคไหนกำลังขึ้นสู่กระแสสูง
พลังของโหวต โนจะกดข่มไม่ให้นักการเมืองที่อัปรีย์จัญไรทำอะไรได้ง่ายๆ
คอยดูเถอะครับ เดี๋ยวก็ได้เห็น
และน่าจะมีความพยายามหรือที่มักจะพูดกันว่ามีมือที่มองไม่เห็นจะกันท่ามิให้พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาล หาไม่ก็คงไม่ถามกันหรอกว่า จะต้องเป็นพรรคที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุดเท่านั้นหรือไม่ที่มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล การจัดตั้งรัฐบาลจะต้องเป็นพรรคที่ได้คะแนนเป็นอันดับ 1 หรืออันดับ 2 อันดับ 3 ไม่ได้เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ ก่อนหน้านี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคม มีเพียง 18 เสียง ก็เป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว เพราะสามารถรวบรวมพรรคการเมืองอื่นๆ แม้พรรคเหล่านั้นจะมี ส.ส.มากกว่าพรรคกิจสังคมมาร่วมรัฐบาล
แต่หลังจากนั้นเมื่อมีการเลือกตั้งเสร็จ พรรคใดได้คะแนนเสียงมากก็จะได้รับโอกาสในการดึงพรรคการเมืองอื่นๆ มาร่วมเป็นรัฐบาล ทำให้นายชวน หลีกภัย นายบรรหาร ศิลปอาชา พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้เป็นรัฐบาล
ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีรอบ 2 ไม่ต้องรอว่าคะแนนพรรคไทยรักไทยจะมากน้อยแค่ไหน เพราะรวมพรรคการเมืองอื่นๆ มาไว้ที่พรรคไทยรักไทยตั้งแต่ยังไม่เลือกตั้งแล้ว
หากมองตามโพลของสำนักต่างๆ ที่ออกมาขณะนี้ก็เชื่อว่าพรรคไทยรักไทยจะชนะการเลือกตั้งมีโอกาสได้เป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาล โดยจะดึงเอาพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อแผ่นดิน และพรรคเล็กพรรคน้อยอื่นๆ
ปล่อยให้พรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยเป็นฝ่ายค้าน เว้นแต่เสียงไม่พอก็อาจจะชักชวนให้พรรคภูมิใจไทยจกลับถิ่นเก่ามาร่วมเป็นรัฐบาลก็อาจจะเป็นไปได้ พรรคการเมืองไหนๆ ต่างก็ต้องการร่วมเป็นรัฐบาลด้วยกันทั้งนั้น
แต่ถ้าหากพรรคเพื่อไทย (ซึ่งคิดไม่เป็นต้องให้ทักษิณช่วยคิด) ไม่สามารถชักชวนให้พรรคการเมืองอื่นๆ มาร่วมได้ก็เป็นโอกาสของพรรคอันดับ 2 อันดับ 3
ไม่แน่นะครับ นายกรัฐมนตรีคนต่อไปอาจจะเป็นนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หรือไม่ก็นายชัย ชิดชอบ ก็ได้ อย่าเพิ่งมองข้ามไปว่าจะต้องเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นจะเป็นได้
ยิ่งได้เห็นฝีมือการบริหารราชการแผ่นดินในช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยิ่งจะง่ายสำหรับนายชวรัตน์ หรือนายชัย เพราะบริหารอย่างนายอภิสิทธิ์ ใครก็เป็นนายกรัฐมนตรีได้สบายมาก กล่าวคือ ไม่ต้องมีภาวะผู้นำ ไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องรักษาคำพูด ไม่ต้องห่วงใยคนไทย ฯลฯ
พรรคเพื่อไทยนั้นยังปิดเงียบอยู่ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี เขาเปิดโอกาสให้เดาว่าจะเป็น ย.ไหน ยิ่งลักษณ์ เยาวเรศ หรือเยาวภา
ย.ไหนก็เป็นนายกรัฐมนตรีได้ทั้งนั้นแหละครับ ถ้าพิจารณาการทำงานการบริหารงานในมาตรฐานของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ที่เคยขู่ชาวบ้านได้ผลมาแล้วคือ “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” ของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ไม่มีใครเขาสนใจหรอกครับ เรา หรือ เขา มันก็เลวพอกัน แย่พอกัน
พรรคประชาธิปัตย์มักจะพูดเก่ง อ้างหลักการ เมื่อคราวที่นายอภิสิทธิ์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ประกาศกฎเหล็ก 9 ข้อ ต้องยุติการเมืองเก่าที่ล้มเหลว ต้องบริหารประเทศด้วยธรรมาภิบาล
นายอภิสิทธิ์ได้ทำอะไรกับกฎเหล็ก 9 ข้อ ได้ทำให้การเมืองที่นายอภิสิทธิ์บอกว่าเป็นการเมืองเก่าที่ล้มเหลวยุติลงตรงไหน เห็นแต่นายอภิสิทธิ์ ทำทุกอย่างเพื่อให้ตนได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจอยากเท่านั้นเอง ยอมยกกระทรวงใหญ่ๆ ให้พรรคอื่นเพื่อเสียงสนับสนุน ยอมรับรัฐมนตรีที่พรรคร่วมรัฐบาลส่งมาไม่ว่ามันจะเป็นเมียน้อยใคร ไม่ว่าพ่อแม่มันจะทำมาหากินอย่างไรแม้กระทั่งขายเนื้อสด นายอภิสิทธิ์ก็ยอมให้ชูคออยู่ในคณะรัฐมนตรี
ธรรมาภิบาลที่นายอภิสิทธิ์พูดยิ่งน่าหัวร่อ เพราะตอนเป็นฝ่ายค้าน จี้ให้รัฐบาลจัดการกับเจ้าหน้าที่ที่ทำร้ายประชาชนที่หน้าสภาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 แต่พอ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดในตอนที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีกลับซุกเอาไว้ในลิ้นชัก ไม่พูดถึงเลยสักแอะในขณะนี้
ความสามารถในการพูด การอภิปราย การปาฐกถากลายเป็นยอดนักตอแหลเท่านั้นเองเท่านั้นจริงๆ
แล้ววันนี้ยังไม่รู้ตัวเอง อยากกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก ฝันไปเถอะ
คราวนี้หันมาดูพรรคเพื่อไทย การได้เลือกตั้งก็คงจะทำให้สงครามไพร่โค่นอำมาตย์จบลง เพราะเป็นไปตามที่เรียกร้องเมื่อเดือนเมษายน/พฤษภาคม ศกก่อนแล้ว
ผลของการเลือกตั้งจะเป็นไปตามที่เขาเชื่อหรือไม่ คือ ถ้าหากพวกเขาชนะก็จะเป็นประชาธิปไตย ถ้าหากได้จัดตั้งรัฐบาลก็ยิ่งจะเห็นประชาธิปไตยเบ่งบาน ชูช่ออรชรกันใหญ่
ที่สำคัญก็คือ การนิรโทษกรรมให้ทักษิณ การทำให้ทักษิณพ้นคุก สำนวนฟ้องสำนวนความผิดต้องพ้นจากสารบบศาล
ลงมือเมื่อไร ประชาชนก็จะออกมาคัดค้านเมื่อนั้น เช่นเดียวกับที่สมัคร สมชาย เจอมาแล้ว
บ้านเมืองก็จะถอยไปเหมือนเมื่อเลือกตั้ง 25 ธันวาคม 2550 อีก
การเลือกตั้งครั้งนี้มีกระแสโหวต โน ไม่เลือกใคร พรรคไหนกำลังขึ้นสู่กระแสสูง
พลังของโหวต โนจะกดข่มไม่ให้นักการเมืองที่อัปรีย์จัญไรทำอะไรได้ง่ายๆ
คอยดูเถอะครับ เดี๋ยวก็ได้เห็น