xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยรอยุบสภาหนุนเงินไหลเข้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – นักลงทุนยังกังวลความชัดเจนการยุบสภา ฉุดภาวะตลาดหุ้นผันผวน ความหากทุกอย่างแน่ชัด หนุนเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยแน่ กองทุนมองหุ้นไทยปรับฐานแค่ช่วงสั้น หลังนักลงทุน เทขายเอากำไร ประเมินแนวโน้มพื้นฐานยังดี ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อ

ตลาดหุ้นไทยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (6พ.ค.) ปรับตัวลดลงเช่นเดียวกับตลาดหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งมาสาเหตุมาจากปัจจัยต่างประเทศกดดันให้ดัชนีทุกตลาดปรับตัวลดลง โดยดัชนีหลักทรัพย์ไทย ปิดที่ระดับ1,050.85 จุด ลดลง 23.02 จุด หรือ -2.14% มูลค่าการซื้อขาย 49,835.01 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ3,478.63 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ในประเทศยังมีข่าวที่นักลงทุนให้ความสนใจอีกประเด็น นั่นคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงว่า ก่อนที่จะเดินทางไปประชุมอาเซียน ที่อินโดนีเซีย จะดำเนินการนำพระราชกฤษฎีกายุบสภาขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ซึ่งเป็นไปตามที่ได้กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้แล้ว และได้แจ้งต่อสาธารณะ เมื่อนำเรื่องนี้ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายแล้ว ก็จะมีขั้นตอนการดำเนินการภายใน และจะแถลงให้ทราบอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคมนี้
ก่อนหน้านี้ มีหลายฝ่ายแสดงความคิดเห็นว่า เมื่อประเทศไทยมีการเลือกตั้ง จะช่วยเพิ่มความมั่นใจแก่นักลงทันต่างชาติมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อดัชนี เนื่องจากเชื่อว่าจะมีเม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตามด้วยความที่ไม่ชัดเจน เรื่องดังกล่าว จึงส่งให้ดัชนีไม่ปรับตัวขึ้นตามที่หลายคนคาดหวัง
นายจักรกริช เจริญเมธาชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ตลาดหุ้นเมื่อวันศุกร์ปรับตัวลดลงจากปัจจัยภายในและต่างประเทศ โดยปัจจัยภายในประเทศคือการเลือกตั้งแม้นายกรัฐมนตรีจะออกมายืนยันยุบสภาตามกำหนดเดิม แต่นักลงทุนยังกังวลว่าอาจจะไม่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ นักลงทุนกังวลตัวเลขเศรษฐกิจโดยรวมที่อ่อนแอ จึงขายทำกำไรในตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ออกมาและกลับไปลงทุนพันธบัตรสหรัฐ ส่งผลให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อน ทำให้ตลาดเอเชียและทั่วโลกปรับตัวลดลงกันถ้วนหน้า
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ยังคงต้องติดตามปัจจัยต่างประเทศ ทิศทางการไหลออกของเงินลงทุน ส่วนการที่นายกรัฐมนตรีจะมีการแถลงเกี่ยวกับการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 9 พ.ค. อาจทำให้ดัชนีรีบาวด์ขึ้นมาได้บ้าง โดยมองกรอบแนวรับที่ 1,038 จุดและแนวต้าน 1,076 จุด โดยแนะนำให้รอซื้อช่วงดัชนีสู่แนวรับ 1,038 จุด
ด้านนักวิเคราะห์ จากบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ให้ความเห็นว่าปัจจัยการเมืองอยู่ระหว่างรอประกาศยุบสภาของนายกฯ แต่ด้วยข่าวสารทางการเมืองที่ผันผวนสูง คาดว่าต้องรอให้มีประกาศยุบสภาจริง ความเชื่อมั่นต่อการเลือกตั้งใหม่จึงเพิ่มขึ้น ในระยะสั้นจึงมีโอกาสสูงที่นักลงทุนในประเทศจะเป็นผู้ขายสุทธิต่อไป

ด้าน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในสัปดาห์นี้ดัชนีมีโอกาสปรับตัวลดลง ตามปัจจัยภายนอกประเทศ โดยเฉพาะการปรับฐานของราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศและเงินทุนเคลื่อนย้าย สถานการณ์การเมืองในประเทศ โดยเฉพาะการยุบสภาฯ ตลอดจนการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีราคาผู้ผลิต ดัชนีราคาผู้บริโภค ฯลฯจึงคาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,044 และ 1,000 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,059 และ 1,064 จุด
นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด กล่าวว่า จากการที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับกระแสเงินไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นหลังจากที่มีการขายเพื่อทำกำไรไปมากในช่วงต้นปีที่ผ่านมา จึงผลักดันให้ SET Index ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 1,100 จุด ส่งผลให้ในช่วงนี้มีการขายเพื่อทำกำไร ทั้งจากนักลงทุนในประเทศและนักลงทุนต่างชาติที่ได้กำไรจากการปรับขึ้นของตลาดและกำไรจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าเมื่อเปรียบเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ ปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมือง ปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ปัญหาเสถียรภาพทางการเงินในยุโรป และการที่นักลงทุนทั่วโลกได้มีการเทขายทำกำไรจากการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งในตลาดหุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยมีการปรับฐานลงมาบ้างในช่วงนี้
ทั้งนี้ บริษัทมองว่า การปรับฐานของตลาดหุ้นไทยน่าจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ เนื่องจาก ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนไทยยังสามารถเติบโตได้ดี โดยคาดว่า จะเติบโตที่ 15% ในปีนี้ และ 10% ในปี 2555 รวมถึงปัจจัยบวกอื่นๆ ที่เอื้อต่อการปรับตัวขึ้นของตลาด เช่น การปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ อีก 5% ในเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ที่จะทำให้กำลังซื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกโดยตรงต่อหุ้นในกลุ่มพาณิชย์ และอาหาร การยุบสภาและการเลือกตั้งใหม่ ทำให้เม็ดเงินในระบบสะพัดขึ้นและส่งผลดีต่อการบริโภคและการปรับตัวของหุ้น โดยเฉพาะกลุ่มสิ่งพิมพ์ สื่อและบันเทิง กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มสื่อสาร รวมถึงโครงการสินเชื่อบ้านหลังแรก ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 0% ใน 2 ปีแรก ซึ่งจะส่งผลดีโดยตรงกับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
สำหรับปัจจัยด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยในปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 5-5.5% จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น ทั้งนี้ ภาวะเงินเฟ้อจะเป็นปัจจัยกดดันให้อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปีนี้จะอยู่ที่ 4%ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของประเทศในเอเชีย และสหรัฐฯ และส่วนต่างระหว่างค่าเงินเอเชีย และสหรัฐฯ กว้างขึ้น จึงมีโอกาสที่เม็ดเงินลงทุนจะไหลเข้ามายังภูมิภาคเอเชียต่อ และสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้อีก
“เราคาดการณ์ว่า การปรับตัวของ SET Index ปีนี้ มีแนวโน้มที่จะสามารถแตะระดับ 1,150-1,250 จุด หรือมี upside ประมาณ 10-20% จากระดับปัจจุบันที่ 1,050 จุด ดังนั้น บริษัทเห็นว่าในช่วงที่ตลาดปรับฐานเป็นจังหวะที่ดีที่จะทยอยเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย”
กำลังโหลดความคิดเห็น