xs
xsm
sm
md
lg

ยึดอำนาจ คืนอำนาจ ถวายคืนพระราชอำนาจ ราชประชาสมาสัย(ตอน 2)

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

ยึดอำนาจยุค 2 (2490-2516)

ที่ถือปืน อยู่ในมือ ก็ถือสิทธิ์
ชีพอุทิศ ให้ประเทศ ป้องเขตขัณฑ์
ความมั่นคง ส่งเสริม เป็นประกัน
ข้อสำคัญ ขอข้าอยู่ เป็นผู้ครอง

ที่ปัญญา กล้าเก่ง เคร่งคัมภีร์
ทำหน้าที่ แข็งขยัน สรรสนอง
หน่อยเมืองไทย ก็จะกลาย เป็นเมืองทอง
เพราะสมอง บวกอำนาจ อันอาจอง

                                         ปราโมทย์ นาครทรรพ
                                           นิวยอร์ก 24 มิ.ย. 2528

ผมกลับไปอยู่นิวยอร์กหลายปี ปี 2548 ผมเขียนบทกลอนข้างต้นรำลึกถึงยุครัฐประหารหรือเผด็จการครองเมือง (2490-2516) ที่เป็นยุคตามก้นอเมริกัน ยุคเข่นฆ่าฟาดฟันนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม ยุคปราบปรามคอมมิวนิสต์ ยุคพิชิตอันธพาล ยุคทองนักวิชาการและเทคโนแครต ยุคแปดสัมปทาน เปิดยุครับเหมางานจากรัฐ

เริ่มยุคด้วยการยึดอำนาจจากรัฐบาลธำรงนาวาสวัสดิ์ (8 พฤศจิกายน 2590) นำโดยพลโทผิน ชุณหะวัณ (2434-2516) นอกราชการ กับลูกเขยคือพันเอกเผ่า ศรียานนท์(2452-2503) และลูกชายคือร้อยเอกสมบูรณ์ (ชาติชาย 2463-2541 นายกรัฐมนตรี 4 ส.ค.31-23ก.พ. 34) นายทหารม้ายานเกราะประจำการ และกลุ่มของพันเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (16 มิ.ย. 2451-8 ธ.ค. 2506 นายกรัฐมนตรี 9 ก.พ. 2502-8 ธ.ค. 2506)

การยึดอำนาจครั้งนี้นายกรัฐมนตรีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ (21 พ.ย. 2444-3 ธ.ค. 2531 นายกรัฐมนตรี 23 ส.ค. 2489-8 พ.ย. 2490) ตอบนักข่าวซักถามรู้ตัวล่วงหน้า “ก็นอนรอการปฏิวัติอยู่แล้ว” เพราะมั่นใจในศักยภาพของรัฐบาล ที่มีผู้บัญชาการทหารบกให้การสนับสนุนอยู่

แต่เหตุใด ทั้งๆ ที่มีอำนาจตามกฎหมายและกำลังอาวุธเหนือกว่า มีโอกาสต่อสู้แต่ไม่ต่อสู้ ผมสันนิษฐานว่ากลุ่มขุนนางที่สนับสนุนนายปรีดี พนมยงค์ (11 พ.ค. 2443-2 พ.ค. 2526 นายกรัฐมนตรี 24 มี.ค. 2489-23 ส.ค. 2489) เห็นว่าหากปฏิวัติสำเร็จ จอมพลป.ซึ่งเป็นพวกเดียวกันกลับมา ก็ยังดีเสียกว่า ส.ส.บ้านนอกจากอุบลราชธานี คือนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ (9 พ.ค.2449- ตำรวจสังหาร 4 มี.ค. 2492) ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีตามข้อเสนอของนายปรีดี หัวหน้าพรรคสหชีพ หากเลือกนายดิเรก ชัยนาม (2447-2510) พรรคแนวร่วมรัฐธรรมนูญ หรือพลเอกหลวงอดุลยเดชจรัส ผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้น (2437-2512) คนใดคนหนึ่ง ก็อาจจะไม่มีหรือยึดอำนาจไม่สำเร็จก็ได้

การยึดอำนาจครั้งนี้ทำให้ทิศทางการพัฒนาประเทศต้องเปลี่ยนแปลงไปหน้ามือเป็นหลังมือ พัฒนาการเมืองไปสู่ประชาธิปไตยซึ่งน่าจะไปได้ด้วยดีกลับเป็นไปไม่ได้ สาเหตุอาจจะมาจากผลรวมของความสั่นสะเทือนหลายอย่างที่กระทบสังคมไทย ได้แก่ ในหลวง ร. 8 ถูกลอบปลงพระชนม์ (มิ.ย. 2489) เหมาเจ๋อตุงพิชิตแผ่นดินใหญ่ ( 1 ต.ค.2486) สองอภิมหาอำนาจอเมริกันกับรัสเซียแบ่งกันครองโลก 2 ขั้วและต่อสู้กันด้วยสงครามเย็น (2489-2534) อันเป็นเหตุให้อเมริกันหนุนการยึดอำนาจครั้งนี้เพื่อจะเอาไทยไว้เป็นลูกน้องตามก้นต่อสู้กับการขยายตัวของคอมมิวนิสต์

ยุคนี้มีการกบฏหรือยึดอำนาจล้มเหลว 3 ครั้ง คือกบฏเสนาธิการนำโดย พล.ต.สมบูรณ์ ศรานุชิต และพลตรีเนตร เนตรโยธิน เสนาธิการชั้นครูและเสรีไทย (1 ต.ค. 91) 2 ครั้งหลังโดยทหารเรือ ทั้งหมดเพื่อนำนายปรีดีกลับคืนสู่อำนาจ ได้แก่กบฏวังหลวง (26 ก.พ. 92) และแมนฮัตตัน (29 มิ.ย. 94) แมนฮัตตันอันเป็นชื่อเรือที่อเมริกาทำพิธีส่งมอบให้กองทัพเรือไทย น.ต.มนัส จารุภา จี้จอมพล ป.ในพิธีแล้วนำไปขังไว้ที่เรือรบหลวงศรีอยุธยา กองทัพอากาศตามมาทิ้งระเบิดจนจอมพล ป.ต้องว่ายน้ำหนี ทุกครั้งมีการต่อสู้กันประปรายไม่สูญเสียเท่าครั้งกบฏบวรเดช ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะทหารไม่อยากฟาดฟันกันเอง ไม่เหมือนครั้งทหารสู้กับเจ้า

ความจริงยุคนี้มีการยึดอำนาจจริงๆ ที่เป็นการเปลี่ยนอำนาจรัฐเพียง 2 ครั้ง ได้แก่รัฐประหาร 2490 กับการยึดอำนาจกันเองเมื่อเสือหนุ่มจอมพลสฤษดิ์ยึดอำนาจเมื่อ 16 กันยายน 2500 จากเสือแก่จอมพล ป.นายที่ตนปฏิญาณไว้ว่าจะซื่อสัตย์จงรักภักดีเหมือนลูกหมาที่จูงมามอบ จอมพล ป.ต้องลี้ภัยไปจบชีวิตในต่างแดน เหมือน 2 อดีตนายกรัฐมนตรี คือ พระยามโนปกรณ์นิติธาดาที่เป็นเหยื่อคณะราษฎร กับนายปรีดี พนมยงค์ที่เป็นเหยื่อคณะรัฐประหาร

ช่วง 10 ปีแรกเป็นยุคของ “เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกัน” คือจอมพลสฤษดิ์กับพล.ต.อ.เผ่า เจ้าของสโลแกนว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ไม่มีอะไรที่ตำรวจทำไม่ได้”

ตำรวจเข่นฆ่าฟาดฟันนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามอย่างหฤโหด “สี่รัฐมนตรี-ทองอินทร์-ถวิล-จำลอง-ทองเปลว” ถูกตำรวจปลอมเป็นโจรมลายูสังหารหมู่ที่บางเขนตำรวจที่คุมมาไม่ตายสักคน ต่อด้วยเตียง ศิริขันธ์ พร มะลิทอง ทวี ตะเวทิกุล น.ท.พจน์ จิตรทอง พ.ต.อ.บรรจงศักดิ์ ชีพเป็นสุข ฯลฯ ผู้นำการเมืองอีสานและใต้ที่มีศักยภาพถูกถอนรากถอนโคนไม่มีเหลือ ทิ้งไว้แต่เฒ่าแก่และสมุนที่พร้อมจะเป็นทาสผู้มีอำนาจ

ยุคนี้เปิดศักราช “ยุคทองของนักวิชาการและเทคโนแครตไทย” เริ่มตั้งแต่ดร.ป๋วยและคุณบุญมา วงษ์สวรรค์ ผู้ทุ่มเทยอมทำงานแต่ไม่ยอมตามใจเผด็จการ กับรุ่นหลังที่พากันได้ดี เพราะรู้จักใช้หัวเข่าแทนเท้ายืนเวลาพูดกับนาย

นักวิชาการและทหารรุ่นใหม่เป็นผู้นำตำรา Institution Building หรือการสร้างสถาบันเพื่อพัฒนา มาขยายส่วนราชการจนใหญ่โตเฟอะฟะ รวมทั้งการหากินกับราชการอันเป็นอาชีพที่สร้างอภิสิทธิ์และความร่ำรวยทางลัด

16 ปีหลังเป็นยุคปราบคอมมิวนิสต์กับอันธพาลโดยเผด็จการทหาร และข้าราชการเล่นพวก ที่ยึดอำนาจจากตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะขัดใจและทนนักการเมืองที่มารับใช้และขึ้นค่าตัวบ่อยๆ ไม่ไหว

ผมมีโอกาสได้รู้เห็นความสลับซับซ้อนการยึดอำนาจ 2500 ด้วยตนเอง วันที่ 26 มีนาคม นักศึกษาเดินขบวนพังประตูทำเนียบฯ คัดค้านการเลือกตั้งสกปรก ผมกับประสิทธิ์ ณรงค์เดช เป็นกรรมการสโมสรนิสิตจุฬาฯ มีสรวง ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม เป็นนายกฯ ประสิทธิ์เป็นคนชักธงลงจากเสาหน้าหอประชุม ผมเป็นคนเขียนคำเรียกร้องยื่นต่อรัฐบาล วันนั้นประเทศไทยเกิดวีรบุรุษใหม่ขึ้น 2 คน คือ อาทิตย์ กำลังเอก “วีรบุรุษมัฆวาน” ผู้ปลดเครื่องและกำลังกีดขวาง นำนิสิต นักศึกษาเข้าไปพบจอมพล ป.กับจอมพลสฤษดิ์ซึ่งลงมานั่งต้อนรับอยู่ที่บันไดทำเนียบฯ กับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้กล่าวคำอำลา “พบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ” เป็นครั้งที่ 2 ครั้งแรกที่หอประชุมจุฬาฯ

วันที่ 16 ตุลาคม 2500 ชาติต้องการจอมพลสฤษดิ์ให้เคลื่อนรถถัง เพราะคอยนิสิตให้เปิดหอประชุมประท้วงรัฐบาลอีกไม่ไหว ผมเป็นคนเดียวที่รู้ว่าโทรโข่งเครื่องเสียงและโปสเตอร์ของนิสิตหายไปอยู่ที่ไหน และผมก็รู้อีกว่าทำไมเพื่อนหลายคนจึงมีสร้อยคอและเงินใช้ฟุ่มเฟือย เพราะในกาลต่อมาผมก็ได้นำเงิน 6 หมื่นบาทมามอบเป็นทุนธนะรัชต์ให้กับนิสิตเรียนดีและยากจนที่คณะรัฐศาสตร์ มีอาจารย์หนุ่มไปคุยโขมงว่าเขาเป็นคนไปหามา ผมสั่งอารีย์ ศรีบูรณธรรมที่ไปรับเงินกับผมให้ปิดปาก ผมไม่อยากทำลายความเคลิ้มใจของคน

วันนั้นพล.ต.ต.ชุมพล โลหะชาละ ขับรถพาจอมพล ป.หนีไปทางเมืองตราด แต่ผมรู้ล่วงหน้าว่าพล.ต.อ.เผ่าไม่สู้และเตรียมตัวบินไปสวิส

ตอนนั้นผมพักอยู่ในบ้านเลขที่ 115 ถนนสุรวงศ์ ศูนย์บัญชาการลับของพล.ต.อ.เผ่า ที่มีสมาชิกพรรคผีเกือบ 20 คนจากประชาธิปัตย์มารับเงินทุกเดือน พ.ต.อ.ศิริ คชหิรัญ เลขานุการกรมตำรวจเป็นผู้จัดหาอุปกรณ์และเครื่องอำนวยความสะดวก คุณเดช บุญหลง ผู้ซึ่งต่อมาได้เป็นรองนายกรัฐมนตรียุคหลัง 14 ตุลา เป็นผู้จ่ายเงิน ผมโชคร้ายหรือดีก็ไม่รู้ที่ได้มาเรียนรัฐศาสตร์คอร์สพิเศษที่นี่ ได้ฟังเรื่องราวของอัศวินแหวนเพชรหลายคน

ก่อนไปประชุมบ้านมนังคศิลาพล.ต.อ.เผ่า มักจะพาพรรคพวกมาที่บ้านนี้ วันที่ 13-14 กันยายน ผมจำได้ว่าพล.ต.อ.เผ่า เครียดและดื่มจนมึนเมาไม่ไปไหน รอคอยให้ตำนานบ้านราชครูปิดลงโดยไม่ขัดขืนเช่นเดียวกับหลวงธำรงฯ

ผมรู้แล้วว่าความต้องการของชาติของจอมพลสฤษดิ์ กับของนิสิต ศึกษานั้นไม่ตรงกัน เราต้องคอยไปจนถึง 14 ตุลาคม 2516 กว่าจะฟื้นฝันใหม่ว่าชาติจะออกจากเผด็จการไปสู่ประชาธิปไตยเสียที

แต่ที่ไหนได้ การยึดอำนาจโดยเผด็จการคณาธิปไตยของทหารการเมืองและนายทุนเลือกตั้งที่ผมเรียกว่า “กงจักรกวนน้ำเน่า” ในยุคที่ 3 ที่ทอดมาถึงปัจจุบันกลับมีอานุภาพทำลายยิ่งเสียกว่ายุคที่สองของจอมพลสฤษดิ์เสียอีก
กำลังโหลดความคิดเห็น