xs
xsm
sm
md
lg

“โตโน่” โต้ ดังแล้วอัพค่าตัวเท่า “ณเดชน์” บอก เรื่องเงินให้ผู้ใหญ่จัดการ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“โตโน่” โต้ อัพค่าตัวเทียบเท่า “ณเดชน์” บอก ไม่มีสิทธิ์ขอขึ้นค่าตัว บอก เรื่องเงินให้ผู้ใหญ่จัดการ ลั่น ไม่เคยคิดว่าดังแล้วต้องทำตัวสูงกว่าใคร ขอทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเป็นพอ เผย ทุกวันนี้แม้จะมีรายได้เพิ่มมากกว่าแต่ก่อน แต่ก็ยังใช้ชีวิตปกติ ยังกินข้าวและใช้รถตู้กองถ่ายเหมือนเดิม ลั่น อยากเก็บเงินส่งเสียให้ครอบครัวที่ขอนแก่น

แจ้งเกิดมาจากการเวทีเดอะสตาร์ สำหรับหนุ่ม “โตโน่ ภาคิน คำวิไลศักดิ์” ที่กำลังฮอตขึ้นหิ้ง มีทั้งงานพรีเซนเตอร์ งานโชว์ตัว งานละครวิ่งชนเพียบ จนล่าสุดมีข่าวเม้าท์ว่าเจ้าตัวเริ่มเดินตามรอยดาราบางคน ด้วยการอัพค่าตัวสูสีพอๆ กับดาวรุ่งรุ่นเดียวกันอย่างหนุ่ม “ณเดชน์ คูกิมิยะ” ที่ตอนนี้อัพค่าตัวไปแล้วในราคางานละ 1.2 แสนในเวลาเพียง 1 ปี แต่เมื่อสอบถามหนุ่มโตโน่ เจ้าตัวก็ตอบอย่างชัดเจนว่าไม่เคยมองว่าเข้ามาในวงการแล้วต้องสูงกว่าคนอื่น ยันไม่มีสิทธิ์ขอขึ้นค่าตัว ทุกอย่างอยู่ที่ความเหมาะสมของผู้ใหญ่

"ยังครับ ตอนนี้เงินติดตัวยังไม่มีเลย(หัวเราะ) กับข่าวอัพค่าตัวแข่งกับณเดชน์ ผมว่าเราไม่ต้องแข่งกับใคร แข่งกับตัวเองเหนื่อยแล้ว ส่วนข่าวที่ออกมาตรงนี้เป็นสิ่งที่คนอื่นคิดขึ้นมาเอาเองครับ ตัวเราจะมีสิทธิ์ไปขอเขาขึ้นค่าตัวเหรอครับ ผมไม่เคยคิดอย่างนั้นนะ ที่เรามีชื่อเสียงได้ก็เพราะจากคะแนนโหวตของชาวบ้านชาวช่อง เขารักเราเพราะว่าเราเป็นคนแบบนั้น ถ้าวันหนึ่งเราจะมาคิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่น แล้วจะมาขึ้นค่าตัวมันก็ไม่ใช่หน้าที่ของผม แต่เรื่องของมูลค่าหรือความเหมาะสมมันอยู่ที่ผู้ใหญ่ เรามีหน้าที่ทำงานและทำให้ดีที่สุดครับ"

เผย ชีวิต 1 ปีในวงการบันเทิงยังใช้ชีวิตไม่แตกต่างจากเดิม บอก แม้จะหาเงินได้เพิ่มมากขึ้น แต่ก็แม่ของตนก็ยังทำงานเหมือนเดิม ส่วนตัวเองก็ประหยัดอดออมกินข้าวและใช้รถบริการจากกองถ่าย
"1ปี ที่ได้เข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงชีวิตผมก็ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะครับ จากเมื่อก่อนเราต้องมานั่งคอยคิดว่าเดือนนี้เราจะหาเงินได้เท่าไหร่ ค่าน้ำ ค่าไฟ เท่าไหร่ หักลบเหลือเท่าไหร่ จะมีเงินเก็บหรือเปล่า ก่อนหน้านี้ผมเคยทำงานตู้เติมเงินมือถือครับ แบบหยอดเหรียญ แล้วเราก็ไปเก็บเอาเหรียญไปแลก ทุกวันนี้ผมก็ยังทำอยู่ครับ แต่ก็จะให้คุณแม่กับน้องสาวทำที่ขอนแก่น การทำตู้เติมเงินโทรศัพท์ คือเราไปเก็บเงินซื้อตู้มาตั้งตามจุดที่คิดว่าคนน่าจะเติมเงินเยอะ ส่วนตัวผมทำงานที่กรุงเทพ"

"ถึงตอนนี้จะมีเงินเยอะขึ้นแล้ว แต่ก็ยังเหมือนเดิม คือไม่ว่าเราจะรวยหรือจน หรือจะเป็นอะไร จริงๆ เราควรรู้คุณค่าของสิ่งที่เราหามาได้ ผมว่าทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่าอะไรที่เราหามาเองมันสำคัญครับ ตอนนี้ยังไม่ได้ซื้อตู้เพิ่มขึ้น เพราะเรามีทั้งหมด 7 ตู้แล้ว และคุณแม่ก็ไม่มีใครที่อยู่ที่โน่น เดี๋ยวจะแบกเหรียญหนักเกินไปครับ(หัวเราะ) หลังๆ พอคนรู้ว่านี่คือธุรกิจของผม ก็มีคนมาเติมเยอะขึ้น แต่ก็จะเหนื่อยในการใช้ลิควิดลบเพราะเขาจะใช้ปากกาเขียนรักโตโน่นะ คิดถึงจัง(หัวเราะ) คุณแม่จะลบตลอดครับ"

”ที่ผ่านมาผมก็พยายามเก็บออม เพราะผมรู้ตัวว่าเป็นคนที่ใช้จ่ายเปลือง ผมเห็นอะไรที่ผมชอบจะซื้ออย่าง นาฬิกา รองเท้า รถมอเตอร์ไซด์ ก็จะซื้อแต่มา ตอนนี้เรารู้ว่ายิ่งงานตรงนี้มันไม่แน่นอน เราก็ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แล้วเราก็ไม่ใช่ตัวคนเดียวด้วย มีแม่และน้องอีก ตอนนี้ได้เงินมาก็เก็บส่งให้แม่กับน้องที่ขอนแก่น บ้านที่ผมโตมา สถานที่ที่เขาเจอพ่อเขาจะมีความสุขกว่า แต่อาจจะสร้างบ้านหลังใหม่ แต่ตอนนี้เราก็ต่อเติมบ้านหลังที่เราอยู่เพื่อให้เขาอยู่สบายขึ้น เงินถ้าเขาอยากได้อะไรก็โอนให้เขาครับ"

“อย่างแม่ของผมถึงตอนนี้จะสบายขึ้น แต่แม่ก็ไม่ได้หยุดทำงาน ก็ยังทำงานเหมือนเดิม แต่มีความสุขขึ้นเพราะเมื่อก่อนแม่ต้องคิดไงครับว่า เงินเดือนได้ 8 พันบาท ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเรียนพิเศษ 4 พันบาท เหลือให้กินอยู่พอไหม แต่ตอนนี้แม่ไม่ต้องคิด แม่ก็ทำงานอย่างมีความสุข ผมก็ดีใจครับ ส่วนเงินที่ผมหามาได้ผมไม่ค่อยได้ใช้เพราะข้าวตอนนี้ก็กินข้าวในกองถ่าย เสื้อผ้าก็ใส่ของกองถ่าย มากองถ่ายก็มีรถตู้กองรับ-ส่ง”

“จริงๆ เราซื้อรถตู้ได้ ถ้าจะซื้อแต่เงินของเราก็ยังไม่มากพอ แล้วในเมื่อเรายังไปกับรถตู้ของกองถ่ายได้ก็ควรไปไม่ใช่ว่าเรางก แต่ว่าเราก็อยู่ได้ ไม่ใช่ว่าเราเป็นดาราแล้วจะไปรถตู้เสื้อผ้ากองถ่ายไม่ได้ เราก็ไปเหมือนเดิมครับ รวยหรือไม่รวย ผมว่าอยู่ที่วิธีคิดของคนมากกว่า เมื่อก่อนผมคิดว่าคนมีเงินแสนก็รวยแล้ว(ยิ้ม)"


กำลังโหลดความคิดเห็น