ASTVผู้จัดการรายวัน -กองทุน FTA เตรียมสนับสนุนงบประมาณ 100 ล้านบาท ผ่านโครงการปลูกปาล์มน้ำมันพันธุ์ดีทดแทนสวนเก่า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตปาล์มน้ำมัน และรองรับผลกระทบจากการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน ที่จะมีต่อเกษตรกรชาวสวนปาล์มและอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน
นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผย ว่า สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตระหนักถึงผลกระทบที่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน จะได้รับจากการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ซึ่งมีผลบังคับให้ประเทศไทยต้องยกเลิกโควตาและลดภาษีนำเข้าปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มตามที่ผูกพันไว้เหลือร้อยละ 0 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 เกษตรกรชาวสวนปาล์มจำเป็นต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศในกลุ่มอาเซียน มีศักยภาพการผลิตสูงกว่าไทย และหากมีการนำเข้าน้ำมันปาล์มจากประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียที่มีราคาต่ำกว่าเข้ามาแข่งขันกับน้ำมันปาล์มที่ผลิตได้ภายในประเทศ จะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรที่ปลูกปาล์มน้ำมัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อยมากกว่า 1 แสนครัวเรือน และอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มทั้งระบบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น เพื่อเป็นการรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปิดเสรีการค้าดังกล่าว และเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน กองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรฯ หรือ กองทุน FTA จึงได้เตรียมสนับสนุนงบประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อดำเนินการปลูกปาล์มพันธุ์ดีทดแทนสวนเก่า พื้นที่ 30,000 ไร่ ใน 5 จังหวัด คือ กระบี่ สุราษฎร์ธานี ชุมพร ตรัง และสตูล ซึ่งจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตปาล์มน้ำมันให้แก่เกษตรกร เนื่องจากปาล์มน้ำมันจะให้ผลผลิตสูงในช่วงอายุ 8-12 ปี หลังจากอายุ 15 ปีจะให้ผลผลิตลดลงต้นปาล์มมีความสูงยากในการเก็บเกี่ยว ทำให้ต้นทุนสูง ซึ่งตามหลักวิชาการแล้วเมื่อต้นปาล์มมีอายุมากกว่า 20 ปี ควรตัดทิ้งเนื่องจากต้นปาล์มโทรมและให้ผลผลิตต่ำ ซึ่งจากการสัมมนาในครั้งนี้จะทำให้ได้รับความเห็นจากทุกภาคส่วนเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงโครงการให้มีความเหมาะสมต่อเกษตรกรมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดี สำหรับสินค้าเกษตรชนิดอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า สามารถขอรับการสนับสนุนจากกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรได้เช่นเดียวกัน โดยจัดทำเป็นโครงการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต พัฒนาคุณภาพและแปรรูปสินค้าเกษตร ตลอดจนการปรับเปลี่ยนการผลิตจากสินค้าที่ไม่มีศักยภาพสู่สินค้าที่มีศักยภาพ ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ พร้อมที่จะให้การช่วยเหลือและแนะนำเกษตรกร
นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผย ว่า สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตระหนักถึงผลกระทบที่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน จะได้รับจากการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ซึ่งมีผลบังคับให้ประเทศไทยต้องยกเลิกโควตาและลดภาษีนำเข้าปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มตามที่ผูกพันไว้เหลือร้อยละ 0 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 เกษตรกรชาวสวนปาล์มจำเป็นต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศในกลุ่มอาเซียน มีศักยภาพการผลิตสูงกว่าไทย และหากมีการนำเข้าน้ำมันปาล์มจากประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียที่มีราคาต่ำกว่าเข้ามาแข่งขันกับน้ำมันปาล์มที่ผลิตได้ภายในประเทศ จะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรที่ปลูกปาล์มน้ำมัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อยมากกว่า 1 แสนครัวเรือน และอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มทั้งระบบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น เพื่อเป็นการรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปิดเสรีการค้าดังกล่าว และเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน กองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรฯ หรือ กองทุน FTA จึงได้เตรียมสนับสนุนงบประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อดำเนินการปลูกปาล์มพันธุ์ดีทดแทนสวนเก่า พื้นที่ 30,000 ไร่ ใน 5 จังหวัด คือ กระบี่ สุราษฎร์ธานี ชุมพร ตรัง และสตูล ซึ่งจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตปาล์มน้ำมันให้แก่เกษตรกร เนื่องจากปาล์มน้ำมันจะให้ผลผลิตสูงในช่วงอายุ 8-12 ปี หลังจากอายุ 15 ปีจะให้ผลผลิตลดลงต้นปาล์มมีความสูงยากในการเก็บเกี่ยว ทำให้ต้นทุนสูง ซึ่งตามหลักวิชาการแล้วเมื่อต้นปาล์มมีอายุมากกว่า 20 ปี ควรตัดทิ้งเนื่องจากต้นปาล์มโทรมและให้ผลผลิตต่ำ ซึ่งจากการสัมมนาในครั้งนี้จะทำให้ได้รับความเห็นจากทุกภาคส่วนเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงโครงการให้มีความเหมาะสมต่อเกษตรกรมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดี สำหรับสินค้าเกษตรชนิดอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า สามารถขอรับการสนับสนุนจากกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรได้เช่นเดียวกัน โดยจัดทำเป็นโครงการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต พัฒนาคุณภาพและแปรรูปสินค้าเกษตร ตลอดจนการปรับเปลี่ยนการผลิตจากสินค้าที่ไม่มีศักยภาพสู่สินค้าที่มีศักยภาพ ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ พร้อมที่จะให้การช่วยเหลือและแนะนำเกษตรกร