ถ้าหากติดตามดูบทบาทและความก้าวหน้าในการเข้าสู่วงการธุรกิจสื่อของอาจารย์เจิมศักดิ์โดยต่อเนื่องตั้งแต่ยุคเริ่มแรก ก็จะเข้าใจได้ไม่ยากว่า เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง แจ้งเกิดมาภายหลังการต่อสู้ของประชาชน ภายหลังเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม ปี 2535 ก่อนหน้านี้เขามีหน้าที่การงานเป็นอาจารย์ประจำที่คณะเศรษศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่สนใจค้นคว้า วิจัย ด้านการตลาดสินค้าการเกษตร สินค้าโภคภัณฑ์ และการพัฒนาชนบท การเกิดเหตุการณ์การต่อสู้ของประชาชนในเดือนพฤษภาคม เพื่อคัดค้านการสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(รสช.) ที่นำโดยพลเอกสุจินดา คราประยูร และนายทหาร จปร. 5 ภายหลังการยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ที่เจิมศักดิ์เป็นที่ปรึกษาในฐานะกลุ่มบ้านพิษณุโลกอยู่ด้วย
การเคลื่อนไหวต่อสู้ของประชาชนครั้งนั้นมี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นผู้นำโดยยอมอดข้าวและน้ำประท้วงจนถึงชีวิต เพื่อเรียกร้องให้พลเอกสุจินดาลาออก เมื่อพล.ต.จำลอง ตัดสินใจสู้แบบเอาชีวิตเข้าแลกเช่นนี้ ท่านจึงได้เขียนหนังสือและสั่งลูกพรรคพลังธรรมทุกคนให้ฟังคำสั่งและการนำของ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ที่พล.ต.จำลองให้ความไว้วางใจสูงสุดขณะนั้น โดยท่านลงแรงเดินทางไปพบ น.ต.ประสงค์ ถึงที่บ้านเพื่อขอร้องให้รับหน้าที่นี้ เมื่อน.ต.ประสงค์ตัดสินใจร่วมสู้กับพล.ต.จำลอง ผมซึ่งมีความสนิทสนมกับน.ต.ประสงค์ และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงคนหนึ่งในการต่อสู้ครั้งนั้น จึงต้องออกหน้าเคียงข้างต่อสู้ร่วมกัน จนนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง นำประชาธิปไตยกลับมาอีกคั้รงหนึ่ง ผู้ที่ได้รับดอกผลและเก็บเกี่ยวเอาผลประโยชน์จากการต่อสู้ก็คือพรรคประชาธิปัตย์ ที่สวมบทเป็นพรรคเทพ เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ก็เริ่มกระโดดเข้าสู่วงการสื่อตั้งแต่บัดนั้น
หลังจากทำรายการมองต่างมุมภายใต้มูลนิธิสื่อสร้างสรรค์ร่วมกับ นายโสภณ สุภาพงษ์ อดีตกรรมการผู้จัดการบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด เขาก็เข้าร่วมงานกับบริษัท ว็อชด็อก จำกัด โดยมีผู้ก่อตั้งคือนายเกษมสันต์ วีระกุล อดีตพิธีกรรายการตามตรงทางช่อง 9 และรายการเหตุบ้านการเมืองทางช่อง 3 และนายอากร ฮุนตระกูล เข้าร่วมเป็นผู้ถือหุ้นที่สำคัญหลังจากเป็นผู้สนับสนุนมูลนิธิสื่อสร้างสรรค์ และเจิมศักดิ์ก็ถูกชักชวนให้ร่วมถือหุ้นในบริษัทว็อชด็อก โดยการชักชวนของอากร ฮุนตระกูล หลังจากนั้นจึงเกิดความขัดแย้งภายในบริษัทขึ้นจนทำให้เกษมสันต์ วีระกุล ต้องถอนตัวออกไป เมื่ออากรเสียชีวิตในที่สุดบริษัท ว็อชด็อก จำกัด ได้กลายเป็นของเจิมศักดิ์ ถือหุ้นใหญ่แต่ผู้เดียว
นี่ก็เป็นความสามารถพิเศษของเจิมศักดิ์ที่ไม่ธรรมดา ความเป็นจริงในเรื่องนี้ต้องถามเกษมสันต์ วีระกุล และพี่ศุภลักษณ์ ตัณฑาภิชาติ ที่เมื่อแยกจากเจิมศักดิ์แล้ว สองท่านนี้ก็ไปจัดตั้งบริษัทรับงานประชาสัมพันธ์ร่วมกัน ส่วนคุณเจิมศักดิ์จะรู้หรือไม่ว่าเงินส่วนหนึ่งที่อากร ฮุนตระกูลนำมาลงหุ้นในบริษัทว็อชด็อก มาจากการขายกิจการโรงแรมในเครืออิมพีเรียลให้กับคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี และคนที่ทวงหนี้ก้อนสุดท้ายหลังจากโอนทรัพย์สินที่ดินทั้งหมดให้แก่คุณเจริญแล้ว แต่คุณอากรยังไม่ได้รับเงินก้อนสุดท้ายจำนวน 300 ล้านบาท จนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตก็คือผมกับท่านประสงค์ สุ่นศิริ โดยทำหนังสือทวงไปยังคุณเจริญและสำเนาถึง ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จึงทำให้อากรได้รับเงินก้อนสุดท้ายก่อนเสียชีวิตเพียงสองวัน
และเมื่อเจิมศักดิ์ลงสมัครเป็นวุฒิสมาชิกระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง อากรเป็นผู้หนึ่งที่ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เจิมศักดิ์ และถ้าเจิมศักดิ์ยังความจำปกติอยู่ก็คงจำได้ว่าผมและเพื่อนได้เข้าไปช่วยหาเสียงและพาคุณเจิมศักดิ์ลงพื้นที่พบประชาชนในหลายท้องที่ ช่วยแนะนำวางแผนในการรณรงค์หาเสียงจนก้าวสู่ตำแหน่งสมใจ ผมยอมรับว่าอาจารย์เจิมศักดิ์มีความสามารถ แต่ความสำเร็จที่ได้มาย่อมแยกไม่ออกจากการที่ต้องอาศัยสถานการณ์การต่อสู้ของประชาชนและอิงแอบอำนาจทางการเมือง
โดยเฉพาะวันนี้ คือ การอิงแอบอำนาจการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์ การอาศัยช่องทางสร้างความสำเร็จให้กับตนเองเป็นวิถีทางโดยชอบของทุกคน แต่วิถีทางที่สร้างความสำเร็จให้กับตนเองโดยเหยียบย่ำประชาชน ผู้มีพระคุณกับตน หรือยอมตนรับใช้ใครก็ได้ นักการเมืองคนใดก็ได้ หรือรัฐบาลใดก็ได้ ทั้งๆ ที่เห็นและรู้อยู่ว่ากำลังกระทำการปล้นชาติปล้นประชาชน ทรยศเนรคุณประชาชน ขายชาติขายแผ่นดิน เป็นเรื่องที่ผมไม่เชื่อว่าคุณเจิมศักดิ์ จะเป็นคนเช่นนั้นไปได้ ถ้าทุกคนอ้างได้ว่าผมไม่ชอบทักษิณเพราะเขาเป็นรัฐบาลโกง แต่ผมยอมรับรัฐบาลอภิสิทธิ์ได้แม้รัฐบาลเขาจะโกงแต่ตัวเขาผมยังไม่เห็นโกง มันจะแตกต่างกันตรงไหน หรือว่าประเทศนี้ประชาชนมีสิทธิ์เลือกรัฐบาลโกงและขายชาติเท่านั้น ขอเพียงแต่ให้เป็นพวกของตนเองก็พอ
คุณเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง วันนี้กับวันวานในอดีตแตกต่างกันลิบลับ วันนี้เขายอมตนเป็นโฆษกประจำตัวนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ คอยทำหน้าที่ปกป้องแก้ต่างให้แก่นายอภิสิทธิ์ทุกเรื่อง ถึงขนาดลงทุนเอาผ้าอนามัยที่ผู้หญิงใช้ซับประจำเดือน มาเป็นตัวอย่างสินค้าอธิบายประกอบการแก้ต่างนโยบายชั่งกิโลไข่ขาย ให้ดูสมจริงถึงขนาดหยิบขึ้นมาซับหน้าในรายการทีวี พร้อมชวนพิธีกรร่วมรายการให้ทำตาม เป็นที่โด่งดังโจษขานไปทั่วเมืองถึงความทุ่มเทปกป้องอภิสิทธิ์ ความจริงแล้วคุณเจิมศักดิ์รับทำงานประชาสัมพันธ์ สร้างภาพลักษณ์ให้กับนายอภิสิทธิ์มานานแล้ว โดยปกปิดไม่เปิดเผยแต่ก็เป็นที่รู้กัน
การกระโดดออกมาเป็นกระบอกเสียงปกป้องอภิสิทธิ์อย่างเปิดเผยในวันนี้ของคุณเจิมศักดิ์ ทั้งที่เห็นอยู่แล้วโทนโท่เต็มตาว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์บริหารชาติบ้านเมืองล้มเหลวเสียหายในทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาความมั่นคงของชาติ และปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชา กรณีปราสาทพระวิหาร และการทุจริตคอร์รัปชันของพรรครัฐบาล การแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนที่ปล่อยให้เกิดภาวะสินค้ามีราคาแพงและขาดแคลน การทุ่มนโยบายประชานิยมที่ผลาญเงินภาษีประชาชน ที่คุณเจิมศักดิ์เคยโจมตีทักษิณมาตลอด สิ่งเหล่านี้เขาไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์ ตรงกันข้ามกลับแก้ต่างแทนอีกต่างหาก
ความเลวร้ายที่สุดที่คุณเจิมศักดิ์ได้เผยความเป็นตัวตนของเขา คือ การสาดโคลนใส่ร้ายผู้นำของประชาชนอย่างคุณสนธิและพี่น้องพันธมิตรฯ ซึ่งมีบุญคุณต่อเขามาโดยตลอด ทั้งหมดย่อมเป็นข้อพิสูจน์ว่า เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ได้เลือกยืนอยู่ตรงข้ามประชาชน หรือว่าเขาไม่เคยมีจุดยืนเช่นนี้มาก่อนเลย เป็นเพราะผมเข้าใจผิดไปเอง หรืออาจเพราะเหตุนี้กระมังที่เขาสามารถเป็นเนื้อเดียวได้กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
การเคลื่อนไหวต่อสู้ของประชาชนครั้งนั้นมี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นผู้นำโดยยอมอดข้าวและน้ำประท้วงจนถึงชีวิต เพื่อเรียกร้องให้พลเอกสุจินดาลาออก เมื่อพล.ต.จำลอง ตัดสินใจสู้แบบเอาชีวิตเข้าแลกเช่นนี้ ท่านจึงได้เขียนหนังสือและสั่งลูกพรรคพลังธรรมทุกคนให้ฟังคำสั่งและการนำของ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ที่พล.ต.จำลองให้ความไว้วางใจสูงสุดขณะนั้น โดยท่านลงแรงเดินทางไปพบ น.ต.ประสงค์ ถึงที่บ้านเพื่อขอร้องให้รับหน้าที่นี้ เมื่อน.ต.ประสงค์ตัดสินใจร่วมสู้กับพล.ต.จำลอง ผมซึ่งมีความสนิทสนมกับน.ต.ประสงค์ และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงคนหนึ่งในการต่อสู้ครั้งนั้น จึงต้องออกหน้าเคียงข้างต่อสู้ร่วมกัน จนนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง นำประชาธิปไตยกลับมาอีกคั้รงหนึ่ง ผู้ที่ได้รับดอกผลและเก็บเกี่ยวเอาผลประโยชน์จากการต่อสู้ก็คือพรรคประชาธิปัตย์ ที่สวมบทเป็นพรรคเทพ เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ก็เริ่มกระโดดเข้าสู่วงการสื่อตั้งแต่บัดนั้น
หลังจากทำรายการมองต่างมุมภายใต้มูลนิธิสื่อสร้างสรรค์ร่วมกับ นายโสภณ สุภาพงษ์ อดีตกรรมการผู้จัดการบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด เขาก็เข้าร่วมงานกับบริษัท ว็อชด็อก จำกัด โดยมีผู้ก่อตั้งคือนายเกษมสันต์ วีระกุล อดีตพิธีกรรายการตามตรงทางช่อง 9 และรายการเหตุบ้านการเมืองทางช่อง 3 และนายอากร ฮุนตระกูล เข้าร่วมเป็นผู้ถือหุ้นที่สำคัญหลังจากเป็นผู้สนับสนุนมูลนิธิสื่อสร้างสรรค์ และเจิมศักดิ์ก็ถูกชักชวนให้ร่วมถือหุ้นในบริษัทว็อชด็อก โดยการชักชวนของอากร ฮุนตระกูล หลังจากนั้นจึงเกิดความขัดแย้งภายในบริษัทขึ้นจนทำให้เกษมสันต์ วีระกุล ต้องถอนตัวออกไป เมื่ออากรเสียชีวิตในที่สุดบริษัท ว็อชด็อก จำกัด ได้กลายเป็นของเจิมศักดิ์ ถือหุ้นใหญ่แต่ผู้เดียว
นี่ก็เป็นความสามารถพิเศษของเจิมศักดิ์ที่ไม่ธรรมดา ความเป็นจริงในเรื่องนี้ต้องถามเกษมสันต์ วีระกุล และพี่ศุภลักษณ์ ตัณฑาภิชาติ ที่เมื่อแยกจากเจิมศักดิ์แล้ว สองท่านนี้ก็ไปจัดตั้งบริษัทรับงานประชาสัมพันธ์ร่วมกัน ส่วนคุณเจิมศักดิ์จะรู้หรือไม่ว่าเงินส่วนหนึ่งที่อากร ฮุนตระกูลนำมาลงหุ้นในบริษัทว็อชด็อก มาจากการขายกิจการโรงแรมในเครืออิมพีเรียลให้กับคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี และคนที่ทวงหนี้ก้อนสุดท้ายหลังจากโอนทรัพย์สินที่ดินทั้งหมดให้แก่คุณเจริญแล้ว แต่คุณอากรยังไม่ได้รับเงินก้อนสุดท้ายจำนวน 300 ล้านบาท จนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตก็คือผมกับท่านประสงค์ สุ่นศิริ โดยทำหนังสือทวงไปยังคุณเจริญและสำเนาถึง ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จึงทำให้อากรได้รับเงินก้อนสุดท้ายก่อนเสียชีวิตเพียงสองวัน
และเมื่อเจิมศักดิ์ลงสมัครเป็นวุฒิสมาชิกระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง อากรเป็นผู้หนึ่งที่ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เจิมศักดิ์ และถ้าเจิมศักดิ์ยังความจำปกติอยู่ก็คงจำได้ว่าผมและเพื่อนได้เข้าไปช่วยหาเสียงและพาคุณเจิมศักดิ์ลงพื้นที่พบประชาชนในหลายท้องที่ ช่วยแนะนำวางแผนในการรณรงค์หาเสียงจนก้าวสู่ตำแหน่งสมใจ ผมยอมรับว่าอาจารย์เจิมศักดิ์มีความสามารถ แต่ความสำเร็จที่ได้มาย่อมแยกไม่ออกจากการที่ต้องอาศัยสถานการณ์การต่อสู้ของประชาชนและอิงแอบอำนาจทางการเมือง
โดยเฉพาะวันนี้ คือ การอิงแอบอำนาจการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์ การอาศัยช่องทางสร้างความสำเร็จให้กับตนเองเป็นวิถีทางโดยชอบของทุกคน แต่วิถีทางที่สร้างความสำเร็จให้กับตนเองโดยเหยียบย่ำประชาชน ผู้มีพระคุณกับตน หรือยอมตนรับใช้ใครก็ได้ นักการเมืองคนใดก็ได้ หรือรัฐบาลใดก็ได้ ทั้งๆ ที่เห็นและรู้อยู่ว่ากำลังกระทำการปล้นชาติปล้นประชาชน ทรยศเนรคุณประชาชน ขายชาติขายแผ่นดิน เป็นเรื่องที่ผมไม่เชื่อว่าคุณเจิมศักดิ์ จะเป็นคนเช่นนั้นไปได้ ถ้าทุกคนอ้างได้ว่าผมไม่ชอบทักษิณเพราะเขาเป็นรัฐบาลโกง แต่ผมยอมรับรัฐบาลอภิสิทธิ์ได้แม้รัฐบาลเขาจะโกงแต่ตัวเขาผมยังไม่เห็นโกง มันจะแตกต่างกันตรงไหน หรือว่าประเทศนี้ประชาชนมีสิทธิ์เลือกรัฐบาลโกงและขายชาติเท่านั้น ขอเพียงแต่ให้เป็นพวกของตนเองก็พอ
คุณเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง วันนี้กับวันวานในอดีตแตกต่างกันลิบลับ วันนี้เขายอมตนเป็นโฆษกประจำตัวนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ คอยทำหน้าที่ปกป้องแก้ต่างให้แก่นายอภิสิทธิ์ทุกเรื่อง ถึงขนาดลงทุนเอาผ้าอนามัยที่ผู้หญิงใช้ซับประจำเดือน มาเป็นตัวอย่างสินค้าอธิบายประกอบการแก้ต่างนโยบายชั่งกิโลไข่ขาย ให้ดูสมจริงถึงขนาดหยิบขึ้นมาซับหน้าในรายการทีวี พร้อมชวนพิธีกรร่วมรายการให้ทำตาม เป็นที่โด่งดังโจษขานไปทั่วเมืองถึงความทุ่มเทปกป้องอภิสิทธิ์ ความจริงแล้วคุณเจิมศักดิ์รับทำงานประชาสัมพันธ์ สร้างภาพลักษณ์ให้กับนายอภิสิทธิ์มานานแล้ว โดยปกปิดไม่เปิดเผยแต่ก็เป็นที่รู้กัน
การกระโดดออกมาเป็นกระบอกเสียงปกป้องอภิสิทธิ์อย่างเปิดเผยในวันนี้ของคุณเจิมศักดิ์ ทั้งที่เห็นอยู่แล้วโทนโท่เต็มตาว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์บริหารชาติบ้านเมืองล้มเหลวเสียหายในทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาความมั่นคงของชาติ และปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชา กรณีปราสาทพระวิหาร และการทุจริตคอร์รัปชันของพรรครัฐบาล การแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนที่ปล่อยให้เกิดภาวะสินค้ามีราคาแพงและขาดแคลน การทุ่มนโยบายประชานิยมที่ผลาญเงินภาษีประชาชน ที่คุณเจิมศักดิ์เคยโจมตีทักษิณมาตลอด สิ่งเหล่านี้เขาไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์ ตรงกันข้ามกลับแก้ต่างแทนอีกต่างหาก
ความเลวร้ายที่สุดที่คุณเจิมศักดิ์ได้เผยความเป็นตัวตนของเขา คือ การสาดโคลนใส่ร้ายผู้นำของประชาชนอย่างคุณสนธิและพี่น้องพันธมิตรฯ ซึ่งมีบุญคุณต่อเขามาโดยตลอด ทั้งหมดย่อมเป็นข้อพิสูจน์ว่า เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ได้เลือกยืนอยู่ตรงข้ามประชาชน หรือว่าเขาไม่เคยมีจุดยืนเช่นนี้มาก่อนเลย เป็นเพราะผมเข้าใจผิดไปเอง หรืออาจเพราะเหตุนี้กระมังที่เขาสามารถเป็นเนื้อเดียวได้กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ