ASTVผู้จัดการรายวัน – “ปลาหมึก” กัดฟันแบกรับต้นทุนขยับ 100% ไม่ไหว จ่อยื่นกรมการค้าภายในขยับราคาเป็น 30 บาทขึ้นไปต่อขวด รุกตลาดหนักรอบ 5 ปี หนีตลาดน้ำปลาหดตัว สงครามราคาเดือด แตกไลน์เครื่องปรุงรส เบนเข็มลุยตลาดต่างประเทศ สิ้นปีรักษารายได้ 700-800 ล้านบาท
นางธิติญา นิธิปิติกาญจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท โรงงานน้ำปลาไทย (ตราปลาหมึก) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำปลาตราปลาหมึก เปิดเผยว่า นโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัท วางแผนแตกไลน์กลุ่มสินค้าใหม่นอกเหนือจากน้ำปลาในเชิงรุก ซึ่งตั้งเป้า 3 ปี จะเปิดตัวแคธิกอรี่ใหม่ปีละ 1 รายการ เป็นสินค้ากลุ่มเครื่องปรุงรส
ขณะนี้มีการพัฒนาและวิจัยสินค้าใหม่ 3-4 รายการ ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวน้ำปลาตราปลาหมึกฉลากเหลือง ราคา 24 บาท เพื่อขยายฐานลูกค้าที่ต้องการรสชาติกลมกล่อม แตกต่างจากน้ำปลาฉลากเขียวเป็นรสดั้งเดิม ราคา 29 บาท ได้ทดลองจำหน่ายตลาดต่างจังหวัด และเริ่มขยายตลาดมาที่กรุงเทพปีนี้ รวมทั้งปลายปีนี้บริษัทจะแตกไลน์น้ำปลาชนิดผง
โดยใช้งบ 20 ล้านบาท เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์ครั้งแรกในรอบ 5 ปี เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มแม่บ้านรุ่นใหม่ หลังจากที่ผ่านมาได้หยุดการสื่อสารหรือการสร้างการรับรู้ไป ส่งผลให้การรับรู้ตราสินค้าน้อยลง โดยการกลับมารุกตลาดครั้งนี้ เนื่องจากสภาพตลาดน้ำปลามูลค่า 1 หมื่นล้านบาท หดตัวโดยเฉลี่ย 5% มาอย่างต่อเนื่องในช่วง 10ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะตลาดระดับบน ซึ่งมีสัดส่วน 40% หรือมูลค่า 4,000 ล้านบาท และน้ำปลาระดับล่าง 60% หรือ 6,000 ล้านบาท ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทไม่เติบโตในช่วง 5 ปี โดยมีรายได้ 700-800 ล้านบาท
ขณะเดียวกันในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ต้นทุนการผลิตน้ำปลา อาทิ ปลากะตัก ปรับขึ้น 2-3เท่าตัว รวมทั้งน้ำตาล และน้ำมัน โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ขอปรับราคาหน้าฉลากขึ้นจาก 26 เป็น 29 บาท แต่ราคาขายปลีกในช่องทางโมเดิร์นเทรด คือ 27 บาท และกำลังจะยื่นต่อกรมการค้าภายใน เพื่อขอปรับราคาหน้าฉลากเพิ่มขึ้น 30 บาทขึ้นไปต่อขวด เพราะต้นทุนผลิตปรับขึ้น 100% ซึ่งขณะนี้กำไรน้ำปลาบรรจุภัณฑ์ขวดมีน้อยมาก เนื่องจากมีต้นทุนสูง ซึ่งแม้ว่าจะเป็นบรรจุภัณฑ์สัดส่วนต่ำกว่า 40% แต่เป็นสินค้าที่คนต่างจังหวัดนิยมใช้มากกว่าบรรจุภัณฑ์ขวดเพ็ทสัดส่วนสูงกว่า 60% กลุ่มผู้ใช้จะเป็นคนเมือง อย่างไรก็ตามในอนาคตบริษัทลดสัดส่วนบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วลดลง
“เมื่อ 10 ปีที่แล้วราคาน้ำปลาสูงกว่าราคาน้ำมันพืช แต่ตอนนี้ราคาน้ำมันพืชปรับเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวหรือประมาณ 50 บาทต่อขวดแล้ว ซึ่งในสถานการณ์ขณะนี้ น้ำมันปรับเพิ่มขึ้น ปลากะตักที่หายากและขาดแคลน บริษัทคงตรึงราคาไว้ได้ไม่นานนัก”
นางธิติญา กล่าวว่า สภาพตลาดน้ำปลาในประเทศที่หดตัว และการแข่งขันราคาอย่างรุนแรง ประกอบกับปัจจัยการตัดสินใจซื้อคำนึงถึงราคาเป็นหลัก ไม่คำนึงถึงคุณค่าหรือประโยชน์ที่ได้รับจากสินค้า การสร้างตลาดจึงต้องป้อนข้อมูลความรู้แก่ผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่บริโภคน้ำปลาน้อยมา ดังนั้นบริษัทจึงหันมาให้ความสำคัญการขยายน้ำปลาในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งในอีก 5 ปีตั้งเป้ารายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นจาก 40% เป็น 50% จากปัจจุบันปลาหมึกเป็นผู้ส่งออกน้ำปลาอันดับ 1ของประเทศ โดยมีแผนขยายตลาดตะวันออกกลาง อาทิ ดูไบ ยุโรป อเมริกา ฯลฯ เพราะสามารถขายราคาที่สูงขึ้น คือ 300บาทต่อลัง เมื่อเทียบกับไทย 220 บาทต่อลัง
สำหรับผลประกอบการปีนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 700-800 ล้านบาท รักษารายได้ไม่ให้หดตัวลง ด้วยการครองส่วนแบ่ง 25% เป็นอันดับ 2 ของตลาด ส่วนอันดับ 1 คือ แบรนด์ทิพรส มีส่วนแบ่ง 50% คนแบกกุ้ง เกือบ 10% หอยนางรม 5% และที่เหลือเป็นอื่นๆ
นางธิติญา นิธิปิติกาญจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท โรงงานน้ำปลาไทย (ตราปลาหมึก) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำปลาตราปลาหมึก เปิดเผยว่า นโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัท วางแผนแตกไลน์กลุ่มสินค้าใหม่นอกเหนือจากน้ำปลาในเชิงรุก ซึ่งตั้งเป้า 3 ปี จะเปิดตัวแคธิกอรี่ใหม่ปีละ 1 รายการ เป็นสินค้ากลุ่มเครื่องปรุงรส
ขณะนี้มีการพัฒนาและวิจัยสินค้าใหม่ 3-4 รายการ ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวน้ำปลาตราปลาหมึกฉลากเหลือง ราคา 24 บาท เพื่อขยายฐานลูกค้าที่ต้องการรสชาติกลมกล่อม แตกต่างจากน้ำปลาฉลากเขียวเป็นรสดั้งเดิม ราคา 29 บาท ได้ทดลองจำหน่ายตลาดต่างจังหวัด และเริ่มขยายตลาดมาที่กรุงเทพปีนี้ รวมทั้งปลายปีนี้บริษัทจะแตกไลน์น้ำปลาชนิดผง
โดยใช้งบ 20 ล้านบาท เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์ครั้งแรกในรอบ 5 ปี เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มแม่บ้านรุ่นใหม่ หลังจากที่ผ่านมาได้หยุดการสื่อสารหรือการสร้างการรับรู้ไป ส่งผลให้การรับรู้ตราสินค้าน้อยลง โดยการกลับมารุกตลาดครั้งนี้ เนื่องจากสภาพตลาดน้ำปลามูลค่า 1 หมื่นล้านบาท หดตัวโดยเฉลี่ย 5% มาอย่างต่อเนื่องในช่วง 10ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะตลาดระดับบน ซึ่งมีสัดส่วน 40% หรือมูลค่า 4,000 ล้านบาท และน้ำปลาระดับล่าง 60% หรือ 6,000 ล้านบาท ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทไม่เติบโตในช่วง 5 ปี โดยมีรายได้ 700-800 ล้านบาท
ขณะเดียวกันในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ต้นทุนการผลิตน้ำปลา อาทิ ปลากะตัก ปรับขึ้น 2-3เท่าตัว รวมทั้งน้ำตาล และน้ำมัน โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ขอปรับราคาหน้าฉลากขึ้นจาก 26 เป็น 29 บาท แต่ราคาขายปลีกในช่องทางโมเดิร์นเทรด คือ 27 บาท และกำลังจะยื่นต่อกรมการค้าภายใน เพื่อขอปรับราคาหน้าฉลากเพิ่มขึ้น 30 บาทขึ้นไปต่อขวด เพราะต้นทุนผลิตปรับขึ้น 100% ซึ่งขณะนี้กำไรน้ำปลาบรรจุภัณฑ์ขวดมีน้อยมาก เนื่องจากมีต้นทุนสูง ซึ่งแม้ว่าจะเป็นบรรจุภัณฑ์สัดส่วนต่ำกว่า 40% แต่เป็นสินค้าที่คนต่างจังหวัดนิยมใช้มากกว่าบรรจุภัณฑ์ขวดเพ็ทสัดส่วนสูงกว่า 60% กลุ่มผู้ใช้จะเป็นคนเมือง อย่างไรก็ตามในอนาคตบริษัทลดสัดส่วนบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วลดลง
“เมื่อ 10 ปีที่แล้วราคาน้ำปลาสูงกว่าราคาน้ำมันพืช แต่ตอนนี้ราคาน้ำมันพืชปรับเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวหรือประมาณ 50 บาทต่อขวดแล้ว ซึ่งในสถานการณ์ขณะนี้ น้ำมันปรับเพิ่มขึ้น ปลากะตักที่หายากและขาดแคลน บริษัทคงตรึงราคาไว้ได้ไม่นานนัก”
นางธิติญา กล่าวว่า สภาพตลาดน้ำปลาในประเทศที่หดตัว และการแข่งขันราคาอย่างรุนแรง ประกอบกับปัจจัยการตัดสินใจซื้อคำนึงถึงราคาเป็นหลัก ไม่คำนึงถึงคุณค่าหรือประโยชน์ที่ได้รับจากสินค้า การสร้างตลาดจึงต้องป้อนข้อมูลความรู้แก่ผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่บริโภคน้ำปลาน้อยมา ดังนั้นบริษัทจึงหันมาให้ความสำคัญการขยายน้ำปลาในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งในอีก 5 ปีตั้งเป้ารายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นจาก 40% เป็น 50% จากปัจจุบันปลาหมึกเป็นผู้ส่งออกน้ำปลาอันดับ 1ของประเทศ โดยมีแผนขยายตลาดตะวันออกกลาง อาทิ ดูไบ ยุโรป อเมริกา ฯลฯ เพราะสามารถขายราคาที่สูงขึ้น คือ 300บาทต่อลัง เมื่อเทียบกับไทย 220 บาทต่อลัง
สำหรับผลประกอบการปีนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 700-800 ล้านบาท รักษารายได้ไม่ให้หดตัวลง ด้วยการครองส่วนแบ่ง 25% เป็นอันดับ 2 ของตลาด ส่วนอันดับ 1 คือ แบรนด์ทิพรส มีส่วนแบ่ง 50% คนแบกกุ้ง เกือบ 10% หอยนางรม 5% และที่เหลือเป็นอื่นๆ