ASTVผู้จัดการรายวัน-รัฐสภาผ่านกรอบเจรจา FTA ไทย-อินเดีย กำหนดแนวทางเปิดเสรีการค้าสินค้า บริการ การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ตั้งเป้าบรรลุเป้าหมายมูลค่าการค้า 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2557 “พาณิชย์”คาดเจรจาเสร็จภายในปีนี้
นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมร่วมของรัฐสภา ได้ลงมติเห็นชอบกรอบการเจรจา FTA ไทย-อินเดีย ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ โดยกรอบเจรจานี้จะใช้เป็นแนวทางในการเจรจาทำความตกลง FTA กับประเทศอินเดียอย่างครอบคลุมทั้งด้านการค้าสินค้า บริการ การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ รวมถึงการทบทวน ปรับปรุง หรือแก้ไขกรอบความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งเขตการค้าเสรีไทย-อินเดีย และความตกลงที่เกี่ยวเนื่องที่จะมีการเจรจาเพิ่มเติมในภายหน้า
โดยเนื้อหาของกรอบการเจรจาจะครอบคลุม 10 ประเด็นสำคัญ เช่น ลดหรือยกเลิกภาษีศุลกากร และมาตรการกีดกันการค้า การเปิดตลาดการค้าสินค้า บริการ และลงทุน มาตรการปกป้องและเยียวยาด้านการค้า การระงับข้อพิพาท และความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน เป็นต้น
“การเจรจาตามกรอบ FTA ไทย-อินเดีย มีเป้าหมายเพื่อเจรจาให้ได้ประโยชน์ในภาพรวมสูงสุดกับประเทศ เพื่อเป็นการขยายโอกาสทางการค้า การลงทุนไปสู่อินเดีย ซึ่งเป็นตลาดใหม่ขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมโอกาสในการส่งออกสินค้าและบริการของไทย ตามที่ผู้นำสองฝ่ายได้ตั้งเป้าหมายมูลค่าการค้าไว้ที่ 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2557 รวมทั้งเสริมสร้างโอกาสในการลงทุนทำธุรกิจของผู้ประกอบการไทยในอินเดียให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคของไทยได้ใช้สินค้าและบริการที่มีคุณภาพ และราคาเหมาะสม โดยไทยและอินเดียหวังว่าข้อตกลงการค้าเสรีไทย-อินเดีย จะแล้วเสร็จภายในปีนี้ เพื่อเป็นช่องทางให้ผู้ประกอบการได้ใช้ประโยชน์เพิ่มเติมจากความตกลง FTA อาเซียน-อินเดีย ที่ได้เริ่มลดภาษีระหว่างกันไปตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2553 ที่ผ่านมา”นายอลงกรณ์กล่าว
นายอลงกรณ์กล่าวว่า การจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับอินเดียอย่างเต็มรูปแบบซึ่งรวมการค้าสินค้า บริการ และการลงทุน รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ จะช่วยเชื่อมโยงความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่สำคัญกับอินเดียซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูงมาก และเป็นตลาดขนาดมหึมาที่สามารถรองรับสินค้าและบริการที่มีศักยภาพของไทยได้อีกมาก เช่น สินค้าอาหาร อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องใช้และอุปกรณ์ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ชิ้นส่วนยานยนต์ การก่อสร้าง การท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง และการบริการด้านสุขภาพ เป็นต้น
ในปี 2553 ที่ผ่านมา อินเดียเป็นคู่ค้าอันดับที่ 17 ของไทย การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 6,646.31 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.23 จากปีก่อนหน้า เป็นการส่งออกไปอินเดีย 4,393.58 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และนำเข้าจากอินเดีย 2,252.74 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนการค้าไทย-อินเดีย ในช่วง 2 เดือนแรก (ม.ค.-ก.พ.) ของปีนี้ มีมูลค่า 1,280.47 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 9.62 ไทยส่งออก 814.85 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.76 และไทยนำเข้า 465.62 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.30 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมร่วมของรัฐสภา ได้ลงมติเห็นชอบกรอบการเจรจา FTA ไทย-อินเดีย ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ โดยกรอบเจรจานี้จะใช้เป็นแนวทางในการเจรจาทำความตกลง FTA กับประเทศอินเดียอย่างครอบคลุมทั้งด้านการค้าสินค้า บริการ การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ รวมถึงการทบทวน ปรับปรุง หรือแก้ไขกรอบความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งเขตการค้าเสรีไทย-อินเดีย และความตกลงที่เกี่ยวเนื่องที่จะมีการเจรจาเพิ่มเติมในภายหน้า
โดยเนื้อหาของกรอบการเจรจาจะครอบคลุม 10 ประเด็นสำคัญ เช่น ลดหรือยกเลิกภาษีศุลกากร และมาตรการกีดกันการค้า การเปิดตลาดการค้าสินค้า บริการ และลงทุน มาตรการปกป้องและเยียวยาด้านการค้า การระงับข้อพิพาท และความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน เป็นต้น
“การเจรจาตามกรอบ FTA ไทย-อินเดีย มีเป้าหมายเพื่อเจรจาให้ได้ประโยชน์ในภาพรวมสูงสุดกับประเทศ เพื่อเป็นการขยายโอกาสทางการค้า การลงทุนไปสู่อินเดีย ซึ่งเป็นตลาดใหม่ขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมโอกาสในการส่งออกสินค้าและบริการของไทย ตามที่ผู้นำสองฝ่ายได้ตั้งเป้าหมายมูลค่าการค้าไว้ที่ 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2557 รวมทั้งเสริมสร้างโอกาสในการลงทุนทำธุรกิจของผู้ประกอบการไทยในอินเดียให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคของไทยได้ใช้สินค้าและบริการที่มีคุณภาพ และราคาเหมาะสม โดยไทยและอินเดียหวังว่าข้อตกลงการค้าเสรีไทย-อินเดีย จะแล้วเสร็จภายในปีนี้ เพื่อเป็นช่องทางให้ผู้ประกอบการได้ใช้ประโยชน์เพิ่มเติมจากความตกลง FTA อาเซียน-อินเดีย ที่ได้เริ่มลดภาษีระหว่างกันไปตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2553 ที่ผ่านมา”นายอลงกรณ์กล่าว
นายอลงกรณ์กล่าวว่า การจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับอินเดียอย่างเต็มรูปแบบซึ่งรวมการค้าสินค้า บริการ และการลงทุน รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ จะช่วยเชื่อมโยงความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่สำคัญกับอินเดียซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูงมาก และเป็นตลาดขนาดมหึมาที่สามารถรองรับสินค้าและบริการที่มีศักยภาพของไทยได้อีกมาก เช่น สินค้าอาหาร อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องใช้และอุปกรณ์ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ชิ้นส่วนยานยนต์ การก่อสร้าง การท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง และการบริการด้านสุขภาพ เป็นต้น
ในปี 2553 ที่ผ่านมา อินเดียเป็นคู่ค้าอันดับที่ 17 ของไทย การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 6,646.31 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.23 จากปีก่อนหน้า เป็นการส่งออกไปอินเดีย 4,393.58 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และนำเข้าจากอินเดีย 2,252.74 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนการค้าไทย-อินเดีย ในช่วง 2 เดือนแรก (ม.ค.-ก.พ.) ของปีนี้ มีมูลค่า 1,280.47 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 9.62 ไทยส่งออก 814.85 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.76 และไทยนำเข้า 465.62 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.30 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน