xs
xsm
sm
md
lg

ลีสซิ่งกสิกรฯรับสินเชื่อQ2สะดุด ส่งมอบรถไม่ทัน-หันเน้นรถปิกอัพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - ลีสซิ่งกสิกรฯปรับกลยุทธรับสินเชื่อเช่าซื้อไตรมาส 2 ซบเซา เหตุยอดส่งมอบรถล่าช้าจากวิกฤติที่ญี่ปุ่น หันเน้นปล่อยกู้รถกะบะชดเชย แต่คาดครึ่งปีหลังคลี่คลายสินเชื่อคึกดันยอดทะลุเป้าได้

นายอิสระ วงศ์รุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัทลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในไตรมาส 2 โดยเฉพาะรถใหม่มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง ซึ่งเป็นตามยอดการส่งมอบรถให้ผู้สั่งจองที่จะล่าช้าออกไป เนื่องจากบริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นได้รับผลกระทบจากเหตุสึนามิและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทำให้ต้องปิดกิจการหรือหยุดการผลิตชั่วคราว ทำให้ขาดชิ้นส่วนในการประกอบรถและส่งมอบไม่ทันตามกำหนด แต่อย่างไรก็ตามทางโรงงานที่ญี่ปุ่นคาดว่าจะสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ภายในไตรมาส 2 นี้

"ยอดซื้อรถและสินเชื่อเช่าซื้อรถในไตรมาส 2 นี้คงจะซบเซาไปพอสมควร เพราะแนวโน้มเริ่มเห็นได้ชัดแล้วว่าการส่งมอบรถไม่ทันแน่ แต่หลังจากไตรมาสนี้ที่ทางญี่ปุ่นรับปากว่าจะแก้ปัญหาให้เสร็จ ในช่วงครึ่งปีหลังก็จะทำให้ยอดสินเชื่อกลับมาคึกคักจากที่อั้นมาจากไตรมาส2 ดังนั้น ในช่วงนี้ ทางลีสซิ่งกสิกรฯก็จะหันไปเน้นตลาดรถปิกอัพมากขึ้นเพื่อชดเชยส่วนที่หายไปในไตรมาสนี้ได้บ้าง"

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2554 บริษัทตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่เพิ่มอีก 21,858 ล้านบาท โดยเป็นสินเชื่อเช่าซื้อและลีสซิ่ง 16,683 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ 5,175 ล้านบาท สำหรับเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อใหม่ตลอดทั้งปี 2554 ยังคงเป้าหมายที่ 43,304 ล้านบาท เพิ่ม 4.06% และมียอดสินเชื่อคงค้างรวมตลอดทั้งปีที่ 64,561 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ประมาณ 19.76% และมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ไม่เกิน 1.66% ทั้งนี้ จะมีการปรับปรุงเงื่อนไขการพิจารณาเครดิต เพื่อเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อรถกระบะจากเดิมประมาณ 20% เป็น 30% และพร้อมสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ที่ต้องการซื้อรถยนต์ประเภทอีโคคาร์มากขึ้นตามแนวโน้มของตลาดรถยนต์

ขณะที่ในไตรมาสแรกบริษัทมีอัตราเติบโตของสินเชื่อใหม่ที่เป็นสินเชื่อเช่าซื้อและลีสซิ่งถึง 37% และสินเชื่อเพื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์เพิ่มขึ้นกว่า 46.3% ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของตลาดรถยนต์ใน 2 เดือนแรกมียอดรวมถึง 145,611 คันเติบโตถึง 40.37%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าทั้งปีน่าจะยอดสูงถึง 850,000-900,000 คัน

นายอิสระกล่าวอีกว่า ตอนนี้ปัจจัยที่ยังต้องจับตามองคือ เหตุการณ์ภายหลังการเลือกตั้งว่าจะเกิดเหตุวุ่นวายหรือไม่ และราคาน้ำมันที่จะเพิ่มขึ้นหากรัฐเลิกอุดหนุน แต่ในส่วนนี้ก็อาจไม่ส่งผลกระทบมากนักเพราะในอีกด้านหนึ่งราคาน้ำมันที่สูงขึ้นก็จะมีส่วนทำให้ยอดขายรถอีโคคาร์เพิ่มขึ้น ดังนั้น หากไม่มีเหตุการณ์เหนือความคาดหมายเกิดขึ้น สินเชื่อก็น่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้หรือทะลุเป้า เพราะยอดสินเชื่อที่กลับคึกคักในครึ่งปีหลังก็จะมาชดเชยส่วนที่หายไปในไตรมาส 2 ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น