นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมครอบครัวได้เดินทางไปพักผ่อนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยเข้าพักที่โรงแรมบันยันทรี หาดละไม อ.เกาะสมุย ซึ่งเป็นที่พักแบบวิลล่า (บ้านส่วนตัว) ที่มีมหาเศรษฐีคนหนึ่งเป็นเจ้าของ มีกำหนดพัก 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 13-16 เม.ย. ซึ่งกรณีนี้ ตนอยากถามว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือต่างตอบแทนอะไรกันหรือไม่ และเป็นเป็นการกระทำที่ เหมาะสม และมีวุฒิภาวะของคนเป็นผู้นำประเทศ หรือไม่
นายอภิสิทธิ์ พาครอบครัวเข้าพักผ่อน ในโรงแรมหรู วิลล่าส่วนตัว ที่มีค่าเข้าพักเกือบ 5 หมื่นบาทต่อคืน หรืออาจจะมากกว่านั้น หากนายอภิสิทธิ์ ได้เข้าพักที่ ห้องพักระดับ presidential ซึ่งราคาเกือบแสนบาทต่อคืน
ทั้งที่หากข้ามฝั่งไปไม่ถึงร้อยกิโลเมตร ที่ฝั่ง จ.สุราษฏร์ธานี และนครศรีธรรมราช รวม 5 อำเภอ 34 ตำบล 237 หมู่บ้าน สถานการณ์น้ำท่วมยังไม่คลี่คลาย ยังมีพี่น้องชาวใต้อีกได้รับความเดือดร้อน 67,259 ครัวเรือน 195,793 คน จากอุทกภัย และ ดินถล่ม ทางขาด ไม่มีที่อยู่ ที่ทำกิน ขาดแคลน เครื่องอุปโภค บริโภค หรือแม้แต่เงินเยียวยา 5,000 บาท ก็ยังเบิกไม่ได้ แต่นายอภิสิทธิ์ พาครอบครัว ไปเที่ยวสงกรานต์ ที่เกาะสมุย นอนโรงแรมคืนละ 5 หมื่นได้ และก่อนหน้านี้ก็ยกพรรคมาสัมมนา ที่โรงแรมหรูเกาะสมุย เช่นกัน
" ขณะที่น้ำท่วมทั้ง 10 จังหวัด พรรคประชาธิปัตย์ กลับเสวยสุข ท่ามกลางน้ำตาของชาวใต้ ในพื้นที่ที่พวกเขาไว้วางใจ เลือกพรรคปชป. ให้ได้ ส.ส. ยกจังหวัดทุกจังหวัด แต่พวกเขาต้องน้ำท่วม ซ้ำซ้อน หัวปี ท้ายปี เสียชีวิต ทรัพย์สิน และอาชีพ มูลค่ามหาศาล คนเป็นผู้นำประเทศ แทนที่จะเสียสละวันหยุดยาว ไปลงพื้นที่ดูแลชาวใต้ แต่นี่กลับพาครอบครัวเที่ยวเกาะสมุย เย้ยชาวใต้เสียเลย นี่ก็เป็นอีกกรณีที่แสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะความเป็นผู้นำ ของนายอภิสิทธิ์ ว่าไม่ได้สนใจพี่น้องชาวใต้ ที่เป็นฐานเสียงของพรรคปชป. เพราะคิดว่ายังไงก็ต้องเลือกพรรค ปชป. เหมือนเป็น หมูในอวย และความเหมาะสม ของพรรคการเมือง ที่เป็นแกนนำรัฐบาลอยู่ในปัจจุบัน ที่มักจะทำเหมือนช่วยประชาชน แบบขอไปที ตามหน้าที่ไปวันๆ พอถึงวันหยุดสงกรานต์ ก็หยุดงานไปเที่ยว ท่ามกลาง ความเดือดร้อนของประชาชน"
นายพร้อมพงศ์ กล่าวอีกว่า ในกรณีการเข้าพักในโรงแรมหรูดังกล่าว ตนกำลังให้คณะทำงานด้านกฎหมายของพรรคตรวจสอบว่า การเข้าพักที่วิลล่าหรู ส่วนตัวในโรงแรมบันยันทรี เกาะสมุย นายอภิสิทธิ์ ได้ลงทะเบียนเข้าพัก และจ่ายค่าใช้จ่ายค่าที่พัก ค่าอาหาร ทั้งของตนเอง ผู้ติดตาม และทีม รปภ.หรือไม่ หากได้รับบริการฟรี หรือได้รับการลดราคาใดๆ ที่เกินกว่า 3.000 บาท การกระทำดังกล่าวของนายอภิสิทธิ์ น่าจะเข้าข่ายทำผิดตามพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 103 ประกอบกับ ประกาศ ป.ป.ช. เรื่องหลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด โดยธรรมจรรยาของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ. 2543 ข้อ 5 ที่ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งหมายถึง ส.ส.-ส.ว. รับทรัพย์สินมีมูลค่าเกิน 3,000 บาท หรือไม่ โดยหากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 2542 มาตรา 122 ซึ่งความผิดเกิดขึ้นสำเร็จแล้ว เพราะเป็นการเข้าใช้บริการได้ผลประโยชน์ไปแล้ว และคงนำไปคืนเจ้าของไม่ได้เหมือนที่รอดจากกรณีรับงาช้าง จากนายโสภณ ซารัมย์ รมว. คมนาคม ไปได้ ซึ่งเรื่องนี้ตนจะยื่นให้คณะกรรมการป.ป.ช. ไต่สวน และดำเนินการถอดถอน นายอภิสิทธิ์ ออกจากตำแหน่งต่อไป
นอกจากนี้นายพร้อมพงศ์ ยังกล่าวการเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังจะมีขึ้นนั้นว่า นายอภิสิทธิ์ที่จะเข้ามาอาสาเป็นผู้นำประเทศครั้งที่สองนั้น แต่ยังไม่มีการสละสัญชาติ และดำเนินการใดๆ ตามที่พรรคเพื่อไทยได้เรียกร้องไป เพราะฉะนั้นตนเห็นว่านายอภิสิทธิ์ ควรที่จะทำตัวเองให้มีความใสสะอาดก่อนที่จะลงรับสมัครการเลือกตั้ง เพราะตนเห็นว่าเรื่องสัญชาติดังกล่าวนั้น อาจจะเป็นการเอื้อประโยชน์ในหลายๆ เรื่องได้ เพราะฉะนั้นหากนายอภิสิทธิ์ ไม่ทำการสละสัญชาติ ก็อย่าลงรับสมัครเลือกตั้งครั้งนี้เลย
นายพร้อมพงศ์ กล่าวด้วยว่า ตนได้ลงพื้นที่ในช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา และได้รับการร้องเรียนจากชาว จ.นครศรีธรรมราช โดยระบุว่า เหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา เมื่อปลายปีที่แล้ว ทางประชาชนได้เซ็นชื่อขอรับเงินชดเชย จำนวน 5,000 บาท ซึ่งมีรายชื่อประมาณ 5,000 รายชื่อ แต่ในตอนนี้กลับได้รับเงินชดเชยเพียงแค่ 2,000 รายเท่านั้น รวมไปถึงเงินชดเชยจากการปลูกยางพาราด้วย ซึ่งทางรัฐบาลได้มีการอนุมัติเงินชดเชยเหล่านี้ไปแล้ว แต่เหตุใดถึงยังไม่ได้รับเงินจำนวนนี้ เนื่องจากเรื่องนี้มีความล่าช้าอย่างมาก ซึ่งระยะเวลาที่ผ่านมานานขนาดนี้ทางประชาชนจึงเห็นว่า มีการอมเงินของพวกเขา
นายพร้อมพงศ์ กล่าวต่อว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่มีฐานเสียงจากประชาชนภาคใต้ แต่เหตุใดจึงปล่อยให้ประชาชนภาคใต้ต้องถูกโกงเงินเช่นนี้ เพราะฉะนั้นายอภิสิทธิ์ จะต้องออกมาชี้แจงโดยเร็วที่สุด
นายอภิสิทธิ์ พาครอบครัวเข้าพักผ่อน ในโรงแรมหรู วิลล่าส่วนตัว ที่มีค่าเข้าพักเกือบ 5 หมื่นบาทต่อคืน หรืออาจจะมากกว่านั้น หากนายอภิสิทธิ์ ได้เข้าพักที่ ห้องพักระดับ presidential ซึ่งราคาเกือบแสนบาทต่อคืน
ทั้งที่หากข้ามฝั่งไปไม่ถึงร้อยกิโลเมตร ที่ฝั่ง จ.สุราษฏร์ธานี และนครศรีธรรมราช รวม 5 อำเภอ 34 ตำบล 237 หมู่บ้าน สถานการณ์น้ำท่วมยังไม่คลี่คลาย ยังมีพี่น้องชาวใต้อีกได้รับความเดือดร้อน 67,259 ครัวเรือน 195,793 คน จากอุทกภัย และ ดินถล่ม ทางขาด ไม่มีที่อยู่ ที่ทำกิน ขาดแคลน เครื่องอุปโภค บริโภค หรือแม้แต่เงินเยียวยา 5,000 บาท ก็ยังเบิกไม่ได้ แต่นายอภิสิทธิ์ พาครอบครัว ไปเที่ยวสงกรานต์ ที่เกาะสมุย นอนโรงแรมคืนละ 5 หมื่นได้ และก่อนหน้านี้ก็ยกพรรคมาสัมมนา ที่โรงแรมหรูเกาะสมุย เช่นกัน
" ขณะที่น้ำท่วมทั้ง 10 จังหวัด พรรคประชาธิปัตย์ กลับเสวยสุข ท่ามกลางน้ำตาของชาวใต้ ในพื้นที่ที่พวกเขาไว้วางใจ เลือกพรรคปชป. ให้ได้ ส.ส. ยกจังหวัดทุกจังหวัด แต่พวกเขาต้องน้ำท่วม ซ้ำซ้อน หัวปี ท้ายปี เสียชีวิต ทรัพย์สิน และอาชีพ มูลค่ามหาศาล คนเป็นผู้นำประเทศ แทนที่จะเสียสละวันหยุดยาว ไปลงพื้นที่ดูแลชาวใต้ แต่นี่กลับพาครอบครัวเที่ยวเกาะสมุย เย้ยชาวใต้เสียเลย นี่ก็เป็นอีกกรณีที่แสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะความเป็นผู้นำ ของนายอภิสิทธิ์ ว่าไม่ได้สนใจพี่น้องชาวใต้ ที่เป็นฐานเสียงของพรรคปชป. เพราะคิดว่ายังไงก็ต้องเลือกพรรค ปชป. เหมือนเป็น หมูในอวย และความเหมาะสม ของพรรคการเมือง ที่เป็นแกนนำรัฐบาลอยู่ในปัจจุบัน ที่มักจะทำเหมือนช่วยประชาชน แบบขอไปที ตามหน้าที่ไปวันๆ พอถึงวันหยุดสงกรานต์ ก็หยุดงานไปเที่ยว ท่ามกลาง ความเดือดร้อนของประชาชน"
นายพร้อมพงศ์ กล่าวอีกว่า ในกรณีการเข้าพักในโรงแรมหรูดังกล่าว ตนกำลังให้คณะทำงานด้านกฎหมายของพรรคตรวจสอบว่า การเข้าพักที่วิลล่าหรู ส่วนตัวในโรงแรมบันยันทรี เกาะสมุย นายอภิสิทธิ์ ได้ลงทะเบียนเข้าพัก และจ่ายค่าใช้จ่ายค่าที่พัก ค่าอาหาร ทั้งของตนเอง ผู้ติดตาม และทีม รปภ.หรือไม่ หากได้รับบริการฟรี หรือได้รับการลดราคาใดๆ ที่เกินกว่า 3.000 บาท การกระทำดังกล่าวของนายอภิสิทธิ์ น่าจะเข้าข่ายทำผิดตามพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 103 ประกอบกับ ประกาศ ป.ป.ช. เรื่องหลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด โดยธรรมจรรยาของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ. 2543 ข้อ 5 ที่ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งหมายถึง ส.ส.-ส.ว. รับทรัพย์สินมีมูลค่าเกิน 3,000 บาท หรือไม่ โดยหากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 2542 มาตรา 122 ซึ่งความผิดเกิดขึ้นสำเร็จแล้ว เพราะเป็นการเข้าใช้บริการได้ผลประโยชน์ไปแล้ว และคงนำไปคืนเจ้าของไม่ได้เหมือนที่รอดจากกรณีรับงาช้าง จากนายโสภณ ซารัมย์ รมว. คมนาคม ไปได้ ซึ่งเรื่องนี้ตนจะยื่นให้คณะกรรมการป.ป.ช. ไต่สวน และดำเนินการถอดถอน นายอภิสิทธิ์ ออกจากตำแหน่งต่อไป
นอกจากนี้นายพร้อมพงศ์ ยังกล่าวการเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังจะมีขึ้นนั้นว่า นายอภิสิทธิ์ที่จะเข้ามาอาสาเป็นผู้นำประเทศครั้งที่สองนั้น แต่ยังไม่มีการสละสัญชาติ และดำเนินการใดๆ ตามที่พรรคเพื่อไทยได้เรียกร้องไป เพราะฉะนั้นตนเห็นว่านายอภิสิทธิ์ ควรที่จะทำตัวเองให้มีความใสสะอาดก่อนที่จะลงรับสมัครการเลือกตั้ง เพราะตนเห็นว่าเรื่องสัญชาติดังกล่าวนั้น อาจจะเป็นการเอื้อประโยชน์ในหลายๆ เรื่องได้ เพราะฉะนั้นหากนายอภิสิทธิ์ ไม่ทำการสละสัญชาติ ก็อย่าลงรับสมัครเลือกตั้งครั้งนี้เลย
นายพร้อมพงศ์ กล่าวด้วยว่า ตนได้ลงพื้นที่ในช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา และได้รับการร้องเรียนจากชาว จ.นครศรีธรรมราช โดยระบุว่า เหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา เมื่อปลายปีที่แล้ว ทางประชาชนได้เซ็นชื่อขอรับเงินชดเชย จำนวน 5,000 บาท ซึ่งมีรายชื่อประมาณ 5,000 รายชื่อ แต่ในตอนนี้กลับได้รับเงินชดเชยเพียงแค่ 2,000 รายเท่านั้น รวมไปถึงเงินชดเชยจากการปลูกยางพาราด้วย ซึ่งทางรัฐบาลได้มีการอนุมัติเงินชดเชยเหล่านี้ไปแล้ว แต่เหตุใดถึงยังไม่ได้รับเงินจำนวนนี้ เนื่องจากเรื่องนี้มีความล่าช้าอย่างมาก ซึ่งระยะเวลาที่ผ่านมานานขนาดนี้ทางประชาชนจึงเห็นว่า มีการอมเงินของพวกเขา
นายพร้อมพงศ์ กล่าวต่อว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่มีฐานเสียงจากประชาชนภาคใต้ แต่เหตุใดจึงปล่อยให้ประชาชนภาคใต้ต้องถูกโกงเงินเช่นนี้ เพราะฉะนั้นายอภิสิทธิ์ จะต้องออกมาชี้แจงโดยเร็วที่สุด