ASTVผู้จัดการรายวัน - “ดีเอสไอ” พบ3โรงพยาบาลรัฐ ตัวเลขเบิก-จ่ายยาผิดปกติ ไม่ตรงกับกรมบัญชีกลาง ปูด!มีแก๊งสมคบเซ็นชื่อรับยาแทนกัน หมอมอบอำนาจพยาบาลจ่ายยาแทน ไม่เป็นตามกฎ ส่อให้เกิดช่องว่างทุจริต เล็งสุ่มอีกทั่วประเทศ แค่สรรพสิทธิประสงค์” ที่เดียวสูญ120 ล้าน
วานนี้ (8 เม.ย.) นายสรรเสริญ ปาลวัฒน์วิไชย รองอธิบดีดีเอสไอ แถลงผลการตรวจสอบการเบิกจ่ายยาระบบจ่ายตรงของครอบครัวข้าราชการ ในโรงพยาบาล 3 แห่ง ว่าพบความผิดปกติในการเบิกจ่ายยากับกรมบัญชีกลาง ในโรงพยาบาลดังกล่าว คือ โรงพยาบาลค่ายเขตอุดมศักดิ์ จ.ชุมพร โรงพยาบาลเรณูนคร จ.สกลนคร และโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ซึ่งในส่วนของ รพ.ค่ายเขตอุดมศักดิ์ เกิดความผิดพลาดในการบันทึกข้อมูล ทำให้ข้อมูลของกรมบัญชีกลางไม่ตรงกับโรงพยาบาล จึงไม่ใช่การทุจริตแต่เป็นเพียงความผิดพลาดในการบันทึกข้อมูล ส่วน รพ.เรณูนคร และสรรพสิทธิประสงค์ พบกรณีที่คล้ายคลึงกันคือ มีการรับยาแทนผู้ป่วย โดยโรงพยาบาลไม่มีระบบตรวจสอบอย่างรัดกุม บางกรณีเป็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลมาเซ็นชื่อรับยาแทนคนไข้ แต่คนไข้ไม่ได้รับยาจริง บางรายแพทย์มอบหมายให้พยาบาลเป็นผู้สั่งจ่ายยาให้คนไข้ได้ ซึ่งการปฏิบัติดังกล่าวไม่เป็นไปตามระเบียบของกรมบัญชีกลาง ทำให้เกิดช่องว่างที่ส่อทุจริต
ตามปกติระบบจากตรงของกรมบัญชีกลาง ผู้ป่วยจะต้องลงทะเบียนล่วงหน้า รวมถึงสแกนลายนิ้วมือและลงลายมือชื่อไว้กับรพ. และหากญาติจะรับยาแทนก็ต้องปฏิบัติในลักษณะเดียวกันคือต้องลงชื่อรับรองการรับยา ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่าแต่ละรพ.ไม่ปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ดังนั้น ดีเอสไอจะทำหนังสือแจ้งไปยังกรมบัญชีกลางและกระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้มีหนังสือสั่งการให้ รพ.ปฏิบัติตามระเบียบการจ่ายยาอย่างเคร่งครัด สำหรับยาที่พบว่ามีการเบิกแทนกันมากที่สุดคือยารักษาโรคเรื้อรัง เช่น ยารักษาโรคเบาหวาน ยาไขมันอุดตันในเส้นเลือด ยารักษาความดันโลหิต
ทั้งนี้ ดีเอสไอพบว่า เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลในทุกระดับเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายยาให้คนไข้เกินความเป็นจริงแต่ขณะนี้ผลการสอบยังไม่ถึงระดับผู้อำนวยการโรงพยาบาล ส่วนมูลค่าความเสียหายโดยรวมเบื้องต้นยังไม่สามารถประเมินได้ นอกจากนี้ยังพบว่าบุคลากรโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้มีการสั่งซื้อยานอกบัญชียาหลักจำนวนมาก เช่น สั่งซื้อยา ROSUVASTATIN (หรือยาลดไขมัน) ยอดสั่งซื้อ 72,896,681 ล้านบาท หรือ สั่งซื้อยา ESOMEPRAZOLE (หรือยาลดการหลั่งกรด) ยอดสั่งซื้อ 51,028,750 ล้านบาท รวมประมาณ 120 ล้านบาท ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษจะสืบสวนขยายผลต่อไป
รองอธิบดีดีเอสไอกล่าวอีกว่า หลังจากนี้การตรวจสอบจะมีลักษณะคู่ขนานทั้งหน่วยงานดีเอสไอ และ ป.ป.ท. โดยจะสุ่มการตรวจสอบ รพ.ทุกภาคทั่วประเทศ รวมถึง รพ.ที่มีระบบการจ่ายตรง ที่ไม่ขึ้นกับกระทรวงสาธารณสุขตลอดจนโรงพยาบาลเอกชน สถานพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์ ขณะที่กรมบัญชีกลางจะตรวจสอบการเบิกจ่ายยาตามเวชระเบียบของโรงพยาบาล ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างจนอาจส่งผลกระทบต่อระบบการจ่ายตรงและสุขภาพของผู้ป่วย
**สธ.ชงแนวทางคุมค่ายา ขรก.
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาสวัสดิการข้าราชการของ สธ. กล่าวถึงกรณีผลสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ที่ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ( ป.ป.ท.) พบ โรงพยาบาลสังกัด สธ. 2 แห่ง มีการทุจริต ว่า ตนยังไม่ทราบในรายละเอียดว่าทุจริตในลักษณะใด แต่ที่ผ่านมา สธ.ไม่ได้นิ่งเฉย เนื่องจากได้มีการประชุมหารือเพื่อจัดทำแนวทางการควบคุมการใช้จ่ายยาในสิทธิสวัสดิการข้าราชการให้ชัดเจนขึ้นกว่าที่ผ่านมา ทั้งการควบคุมการใช้ยา การกำหนดข้อบ่งชี้ต่างๆ รวมไปถึงการติดตามผลการใช้ยาของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง โดยแนวทางดังกล่าวจะเข้าสู่การประชุมของคณะถกรรมการพิจารณาสวัสดิการข้าราชการของ สธ.ในวันที่ 11 เม.ย.นี้
**ผอ.รพ.สรรพสิทธิ เต้น!รอแจง
น.ส.นุชนารถ เจียรวงศ์ตระกูล รองผอ.การฝ่ายบริหาร รพ.สรรพสิทธิประสงค์อุบลราชธานี กล่าวว่า ขณะนี้ นพ.มนัส กนกศิลป์ ผอ.รพ.สรรพสิทธิประสงค์ เดินทางไปต่างประเทศ มีกำหนดจะเดินทางกลับในวันที่ 11 เม.ษ.นี้ ซึ่งทาง รพ.ได้ประสานทางโทรศัพท์แจ้งให้ นพ.มนัส.ทราบเป็นเบื้องต้นแล้ว โดย ผอ.ได้รับทราบและจะชี้แจงในทุกเรื่องที่ทางดีเอสไอมาตรวจสอบ.
วานนี้ (8 เม.ย.) นายสรรเสริญ ปาลวัฒน์วิไชย รองอธิบดีดีเอสไอ แถลงผลการตรวจสอบการเบิกจ่ายยาระบบจ่ายตรงของครอบครัวข้าราชการ ในโรงพยาบาล 3 แห่ง ว่าพบความผิดปกติในการเบิกจ่ายยากับกรมบัญชีกลาง ในโรงพยาบาลดังกล่าว คือ โรงพยาบาลค่ายเขตอุดมศักดิ์ จ.ชุมพร โรงพยาบาลเรณูนคร จ.สกลนคร และโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ซึ่งในส่วนของ รพ.ค่ายเขตอุดมศักดิ์ เกิดความผิดพลาดในการบันทึกข้อมูล ทำให้ข้อมูลของกรมบัญชีกลางไม่ตรงกับโรงพยาบาล จึงไม่ใช่การทุจริตแต่เป็นเพียงความผิดพลาดในการบันทึกข้อมูล ส่วน รพ.เรณูนคร และสรรพสิทธิประสงค์ พบกรณีที่คล้ายคลึงกันคือ มีการรับยาแทนผู้ป่วย โดยโรงพยาบาลไม่มีระบบตรวจสอบอย่างรัดกุม บางกรณีเป็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลมาเซ็นชื่อรับยาแทนคนไข้ แต่คนไข้ไม่ได้รับยาจริง บางรายแพทย์มอบหมายให้พยาบาลเป็นผู้สั่งจ่ายยาให้คนไข้ได้ ซึ่งการปฏิบัติดังกล่าวไม่เป็นไปตามระเบียบของกรมบัญชีกลาง ทำให้เกิดช่องว่างที่ส่อทุจริต
ตามปกติระบบจากตรงของกรมบัญชีกลาง ผู้ป่วยจะต้องลงทะเบียนล่วงหน้า รวมถึงสแกนลายนิ้วมือและลงลายมือชื่อไว้กับรพ. และหากญาติจะรับยาแทนก็ต้องปฏิบัติในลักษณะเดียวกันคือต้องลงชื่อรับรองการรับยา ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่าแต่ละรพ.ไม่ปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ดังนั้น ดีเอสไอจะทำหนังสือแจ้งไปยังกรมบัญชีกลางและกระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้มีหนังสือสั่งการให้ รพ.ปฏิบัติตามระเบียบการจ่ายยาอย่างเคร่งครัด สำหรับยาที่พบว่ามีการเบิกแทนกันมากที่สุดคือยารักษาโรคเรื้อรัง เช่น ยารักษาโรคเบาหวาน ยาไขมันอุดตันในเส้นเลือด ยารักษาความดันโลหิต
ทั้งนี้ ดีเอสไอพบว่า เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลในทุกระดับเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายยาให้คนไข้เกินความเป็นจริงแต่ขณะนี้ผลการสอบยังไม่ถึงระดับผู้อำนวยการโรงพยาบาล ส่วนมูลค่าความเสียหายโดยรวมเบื้องต้นยังไม่สามารถประเมินได้ นอกจากนี้ยังพบว่าบุคลากรโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้มีการสั่งซื้อยานอกบัญชียาหลักจำนวนมาก เช่น สั่งซื้อยา ROSUVASTATIN (หรือยาลดไขมัน) ยอดสั่งซื้อ 72,896,681 ล้านบาท หรือ สั่งซื้อยา ESOMEPRAZOLE (หรือยาลดการหลั่งกรด) ยอดสั่งซื้อ 51,028,750 ล้านบาท รวมประมาณ 120 ล้านบาท ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษจะสืบสวนขยายผลต่อไป
รองอธิบดีดีเอสไอกล่าวอีกว่า หลังจากนี้การตรวจสอบจะมีลักษณะคู่ขนานทั้งหน่วยงานดีเอสไอ และ ป.ป.ท. โดยจะสุ่มการตรวจสอบ รพ.ทุกภาคทั่วประเทศ รวมถึง รพ.ที่มีระบบการจ่ายตรง ที่ไม่ขึ้นกับกระทรวงสาธารณสุขตลอดจนโรงพยาบาลเอกชน สถานพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์ ขณะที่กรมบัญชีกลางจะตรวจสอบการเบิกจ่ายยาตามเวชระเบียบของโรงพยาบาล ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างจนอาจส่งผลกระทบต่อระบบการจ่ายตรงและสุขภาพของผู้ป่วย
**สธ.ชงแนวทางคุมค่ายา ขรก.
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาสวัสดิการข้าราชการของ สธ. กล่าวถึงกรณีผลสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ที่ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ( ป.ป.ท.) พบ โรงพยาบาลสังกัด สธ. 2 แห่ง มีการทุจริต ว่า ตนยังไม่ทราบในรายละเอียดว่าทุจริตในลักษณะใด แต่ที่ผ่านมา สธ.ไม่ได้นิ่งเฉย เนื่องจากได้มีการประชุมหารือเพื่อจัดทำแนวทางการควบคุมการใช้จ่ายยาในสิทธิสวัสดิการข้าราชการให้ชัดเจนขึ้นกว่าที่ผ่านมา ทั้งการควบคุมการใช้ยา การกำหนดข้อบ่งชี้ต่างๆ รวมไปถึงการติดตามผลการใช้ยาของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง โดยแนวทางดังกล่าวจะเข้าสู่การประชุมของคณะถกรรมการพิจารณาสวัสดิการข้าราชการของ สธ.ในวันที่ 11 เม.ย.นี้
**ผอ.รพ.สรรพสิทธิ เต้น!รอแจง
น.ส.นุชนารถ เจียรวงศ์ตระกูล รองผอ.การฝ่ายบริหาร รพ.สรรพสิทธิประสงค์อุบลราชธานี กล่าวว่า ขณะนี้ นพ.มนัส กนกศิลป์ ผอ.รพ.สรรพสิทธิประสงค์ เดินทางไปต่างประเทศ มีกำหนดจะเดินทางกลับในวันที่ 11 เม.ษ.นี้ ซึ่งทาง รพ.ได้ประสานทางโทรศัพท์แจ้งให้ นพ.มนัส.ทราบเป็นเบื้องต้นแล้ว โดย ผอ.ได้รับทราบและจะชี้แจงในทุกเรื่องที่ทางดีเอสไอมาตรวจสอบ.