อุบลราชธานี - ผู้อำนวยการและคณะผู้บริหารโรงพยาบาลศูนย์สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ตบเท้ายันไม่มีการทุจริตสั่งซื้อและจ่ายยานอกบัญชีหลักทั้ง 2 ชนิด พร้อมแจงข้อเท็จจริงกับดีเอสไอทุกประเด็น และยังเน้นให้แพทย์-พยาบาลรักษาผู้ป่วยด้วยคุณภาพตามเดิม
สืบเนื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอให้ข่าวมีการปฏิบัติผิดระเบียบส่อในทางทุจริต และมีการสั่งซื้อยานอกบัญชียาหลักของโรงพยาบาลเป็นมูลค่ารวมกันมากกว่า 120 ล้านบาทนั้น ความคืบหน้าเมื่อเวลา 15.00 น. วันนี้ (11เม.ย.54) นายแพทย์มนัส กนกศิลป์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี พร้อมคณะผู้บริหารร่วมแถลงข่าวระบุว่า
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 13-14 ม.ค.2554 สำนักพัฒนาระบบตรวจสอบการรักษาพยาบาลได้รับการมอบหมายจากกรมบัญชีกลางมาตรวจสอบ โดยประเด็นระบุว่า ส่อไปในทางทุจริตการเบิกจ่ายตรงสิทธิข้าราชการ โดยมีญาติมาเบิกยาแล้วไม่ลงลายมือชื่อ ในกรณีนี้ระเบียบของกรมบัญชีกลางไม่มีข้อกำหนดให้ผู้ป่วยหรือญาติต้องเซ็นชื่อรับยา โรงพยาบาลจึงไม่ถือปฏิบัติเหมือนกันทั่วประเทศ สำหรับการจ่ายยาแก่ผู้ป่วย โรงพยาบาลไม่อนุญาตให้พยาบาลเป็นผู้สั่งจ่ายให้แก่ผู้ป่วยอยู่แล้ว
สำหรับประเด็นการจ่ายยานอกบัญชียาหลัก 2 ราย คือ ยาลดไขมัน และยาลดการหลั่งกรด ที่มียอดสั่งซื้อถึง 120 ล้านบาท ข้อเท็จจริงเป็นยอดรวม 3 ปี คิดเฉลี่ยตกปีละ 40 ล้านบาท ซึ่งตรงกับปริมาณผู้ป่วยที่โรงพยาบาลให้การรักษา โดยแบ่งเป็นผู้ป่วยนอกที่เข้ามารับการรักษาปีละกว่า 670,000 คน ผู้ป่วยในอีกปีละ 90,216 คน
และผู้ป่วยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละกว่า 3.7- 6.29% ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนเข้าถึงระบบสาธารณสุขมากกว่าอดีต จึงจำเป็นต้องมีการใช้ยารักษาผู้ป่วยมากขึ้น แต่ไม่เกินความจำเป็นแต่อย่างใด
น.พ.มนัส กล่าวต่อว่า สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของแพทย์ พยาบาลที่ปฏิบัติหน้า แต่ทางโรงพยาบาลยืนยันว่า การรักษายังดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ไม่มีการลดคุณภาพการรักษา เพราะจะเกิดผลเสียกับผู้ป่วย ส่วนการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็เป็นหน้าที่ของหน่วยดีเอสไอที่ดำเนินไปตามกรอบของกฏหมาย
ส่วนโรงพยาบาลก็พร้อมชี้แจงข้อสงสัยทุกประเด็นแก่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่กระทรวงสาธารณสุขตั้งขึ้นทุกเรื่องด้วย และดีเอสไอยังไม่มีหนังสือเรียกให้ผู้บริหารโรงพยาบาลไปชี้แจงด้วย