ASTVผู้จัดการรายวัน- หุ้นไทยพุ่ง 16 จุด ดันดัชนีปรับตัวสูงสุดในรอบกว่า 14 ปี ด้านต่างชาติซื้อต่อเนื่องอีก 8.2 พันล้าน ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ชี้ เม็ดเงินนอกประเทศยังคงไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง จากความกังวลการเมืองน้อยลง -ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น
ตลาดหุ้นไทยวานนี้(1เม.ย.) ดัชนีหลักทรัพย์ปิดที่ระดับ 1,064.35 จุด เพิ่มขึ้น 16.87 จุด หรือ1.61%มูลค่าการซื้อขาย 48,338.90 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 1,068.33 จุด และต่ำสุด 1,052.49 จุด โดยไต่ขึ้นมาทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบกว่า 14 ปี และเป็นการปรับตัวในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค ที่นักลงทุนมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น หลังเงินเฟ้อของไทยออกมาตามคาด ตัวเลข PMI ของจีนขยายตัวดี
ภาพรวมนักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิต่อเนื่องไปอีก 8,279.08 ล้านบาท ตามาด้วยสถาบันซื้อสุทธิ 1,433.23 ล้านบาทและ บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ซื้อสุทธิ 303.73 ล้านบาท
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดผยว่า ทิศทางนักลงทุนต่างประเทศยังคงเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องจาก และมีความกังวลปัจจัยการเมืองไทยที่น้อยลง รวมทั้งปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยดี บริษัทจดทะเบียนมีกำไรเติบโตสูงในปีที่ผ่านมา สภาพคล่องการซื้อขายหุ้นไทยสูงถึง 3 หมื่นล้านบาทต่อวันซึ่งสูงสุดในภูมิภาค โดยเม็ดเงินต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในช่วงนี้ เชื่อว่าจะเป็นเม็ดเงินลงทุนระยาว
ทั้งนี้การที่เม็ดเงินของนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยติดต่อกัน 8 วันทำการและมีแรงซื้อจำนวนมากในช่วง 2 วันที่ผ่านมาประมาณ 1หมื่นล้านบาท นั้นเชื่อว่าเป็นการเข้ามาลงทุนในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค แต่ดัชนีตลาดหุ้นไทยถือว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มาก เนื่องจากนักลงทุนสถาบันมีการเทขายออกมา
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ สำนักวิจัย บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้นมาก ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างอยู่ในแดนบวกกันทั่วหน้า เนื่องจากมีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามามากและต่อเนื่องจาก 2 วันที่ผ่านมา โดยเฉพาะตลาดในกลุ่ม TIP ที่ไทยรวมอยู่ด้วย ทำให้ดัชนี SET สามารถทะลุจุดสูงสุดเดิม 1,056 จุดขึ้นไปได้ และมีการทำจุดสูงสุดใหม่
สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนการลงทุนคงจะมาจากเรื่องที่เงินเฟ้อของไทยประกาศออกมาก็เป็นไปตามที่คาดไว้ ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจลงทุนมากขึ้น ประกอบดับตัวเลขภาคการผลิตของจีน(PMI)งวดเดือนมีนาคมก็ออกมามีการขยายตัว ซึ่งถือว่าดี ส่วนปัจจัยที่ยังต้องจับตาดูต่อไปเป็นเรื่องสถานการณ์ในญี่ปุ่น และลิเบีย โดยแนวโน้มการลงทุนในสัปดาห์หน้า คาดว่า ตลาดฯอาจจะผันผวน จากแรงขายทำกำไรบ้าง แต่ก็มีโอกาสที่ตลาดฯจะปรับตัวขึ้นได้ พร้อมให้แนวรับ 1,050-1,055 จุด แนวต้าน 1,080 จุด
ตลาดหุ้นไทยวานนี้(1เม.ย.) ดัชนีหลักทรัพย์ปิดที่ระดับ 1,064.35 จุด เพิ่มขึ้น 16.87 จุด หรือ1.61%มูลค่าการซื้อขาย 48,338.90 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 1,068.33 จุด และต่ำสุด 1,052.49 จุด โดยไต่ขึ้นมาทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบกว่า 14 ปี และเป็นการปรับตัวในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค ที่นักลงทุนมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น หลังเงินเฟ้อของไทยออกมาตามคาด ตัวเลข PMI ของจีนขยายตัวดี
ภาพรวมนักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิต่อเนื่องไปอีก 8,279.08 ล้านบาท ตามาด้วยสถาบันซื้อสุทธิ 1,433.23 ล้านบาทและ บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ซื้อสุทธิ 303.73 ล้านบาท
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดผยว่า ทิศทางนักลงทุนต่างประเทศยังคงเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องจาก และมีความกังวลปัจจัยการเมืองไทยที่น้อยลง รวมทั้งปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยดี บริษัทจดทะเบียนมีกำไรเติบโตสูงในปีที่ผ่านมา สภาพคล่องการซื้อขายหุ้นไทยสูงถึง 3 หมื่นล้านบาทต่อวันซึ่งสูงสุดในภูมิภาค โดยเม็ดเงินต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในช่วงนี้ เชื่อว่าจะเป็นเม็ดเงินลงทุนระยาว
ทั้งนี้การที่เม็ดเงินของนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยติดต่อกัน 8 วันทำการและมีแรงซื้อจำนวนมากในช่วง 2 วันที่ผ่านมาประมาณ 1หมื่นล้านบาท นั้นเชื่อว่าเป็นการเข้ามาลงทุนในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค แต่ดัชนีตลาดหุ้นไทยถือว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มาก เนื่องจากนักลงทุนสถาบันมีการเทขายออกมา
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ สำนักวิจัย บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้นมาก ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างอยู่ในแดนบวกกันทั่วหน้า เนื่องจากมีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามามากและต่อเนื่องจาก 2 วันที่ผ่านมา โดยเฉพาะตลาดในกลุ่ม TIP ที่ไทยรวมอยู่ด้วย ทำให้ดัชนี SET สามารถทะลุจุดสูงสุดเดิม 1,056 จุดขึ้นไปได้ และมีการทำจุดสูงสุดใหม่
สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนการลงทุนคงจะมาจากเรื่องที่เงินเฟ้อของไทยประกาศออกมาก็เป็นไปตามที่คาดไว้ ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจลงทุนมากขึ้น ประกอบดับตัวเลขภาคการผลิตของจีน(PMI)งวดเดือนมีนาคมก็ออกมามีการขยายตัว ซึ่งถือว่าดี ส่วนปัจจัยที่ยังต้องจับตาดูต่อไปเป็นเรื่องสถานการณ์ในญี่ปุ่น และลิเบีย โดยแนวโน้มการลงทุนในสัปดาห์หน้า คาดว่า ตลาดฯอาจจะผันผวน จากแรงขายทำกำไรบ้าง แต่ก็มีโอกาสที่ตลาดฯจะปรับตัวขึ้นได้ พร้อมให้แนวรับ 1,050-1,055 จุด แนวต้าน 1,080 จุด
