การเมืองไทยมาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่น่าจับตามอง อายุรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะสิ้นสุดลงในเดือนธันวาคม 2554 นี้ แต่ได้ประกาศว่าจะยุบสภาในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม โดยอ้างว่า เพื่อให้เสียงส่วนใหญ่ของประเทศตัดสินทางการเมืองด้วยการเลือกตั้ง แทนการร้องตะโกนโหวกเหวกของกลุ่มคนส่วนน้อยข้างถนน ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไม่ยอมรับ หรืออาจทนไม่ได้ต่อการเปิดโปงสารพัดการคิดไม่ชอบต่อบ้านเมืองที่นับวันจะเข้มข้นและทิ่มแทงใจดำมากขึ้นทุกที
นักการเมืองไทยเกือบทั้งหมดรวมทั้งตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะด้วย ยังคงยึดการเลือกตั้งเป็นสรณะ ว่าเป็นทั้งหมดของระบอบประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่า วิถีทางการเลือกตั้งที่ประพฤติปฏิบัติกันอยู่ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่ไม่ซื่อไม่ตรง กลโกงการฉ้อฉลเพื่อเอาชนะ นับวันจะเลวร้ายเพิ่มขึ้น รวมทั้งการเอาชนะกันด้วยเงินทองที่ทุ่มหว่านกันอย่างมากมายมหาศาลไม่น่าเชื่อ และเงินทองที่นำมาใช้ในการเลือกตั้งก็ล้วนแต่เงินบาปเงินโสมมที่คดโกงมา กลายเป็นว่าการเลือกตั้งเป็นเหมือนธุรกิจการลงทุน ที่มีเป้าหมายเพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐ แล้วถอนทุนบวกกำไร เมื่อได้เป็นรัฐบาล
การเมืองไทยวนเวียนอยู่ในหล่มปลักการค้าขายประชาธิปไตยมานับหลายทศวรรษ ตั้งแต่ผ่องถ่ายอำนาจรัฐมาจากเผด็จการทหาร ที่ถูกล้มล้างด้วยการลุกฮือของนิสิต นักศึกษา และประชาชน เมื่อ 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมา หัวหน้าแก๊งการเมืองและนักเลือกตั้งหน้าเดิมๆ วนเวียนผลัดเปลี่ยนกันยึดครองอำนาจ ปู้ยี่ปู้ยำบ้านเมือง แสวงหาประโยชน์ คดโกงหนักข้อยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่การเรียกเปอร์เซ็นต์ใต้โต๊ะจนถึงการวางแผนวางนโยบายโกงกินกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ในวงเงินนับหมื่นนับแสนล้าน จากเดิมที่เคยเปรียบเทียบกันว่าเลวน้อยเลวมาก โกงน้อยโกงมาก ตอนนี้ก็เรียกได้ว่าเลวและโกงเสมอหน้ากันทุกแก๊งการเมือง ไม่เว้นแม้แต่แก๊งเก่าแก่ที่อยู่มานานจนเกือบหลงเชื่อว่าเป็นสถาบันทางการเมือง
การประกาศเตรียมการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งในครั้งต่อไปนี้ จึงเริ่มเป็นหัวข้อที่ประชาชนคนไทยกำลังยกมาเป็นประเด็นปัญหาถกกันอย่างเอาจริงเอาจังว่า การเลือกตั้ง คือคำตอบหรือหนทางไปสู่การแก้ไขปัญหาบ้านเมืองหรือไม่ เพราะถ้าการเลือกตั้งยังไม่ตั้งตรง และเลือกแล้ว ก็ได้แก๊งการเมืองและนักการเมืองหน้าเก่าๆ ที่พิสูจน์ชัดแล้วว่าไม่ซื่อตรงต่อบ้านเมือง จะเลือกตั้งกันไปเพื่ออะไร?
พอมีคำถามนี้ ก็จะต้องมีคำถามแย้งสวนทันควันว่า ไม่เอาเลือกตั้งแล้วจะเอายังไง? จะเอาปฏิวัติรัฐประหารให้ประเทศชาติถอยหลังลงคลองเหมือนที่ผ่านมาหรือ?
ปัญหาว่าจะมีการเลือกตั้ง หรือไม่มีการเลือกตั้ง กลายเป็นประเด็นที่กูรูทางการเมืองไทย และนักรัฐศาสตร์ นักนิติศาสตร์ หยิบยกมาถกแถลงกันอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะข่าวการลาออกของ กกต.หลังการยุบสภา ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ หรือเลยเถิดไปถึง พลังอำนาจพิเศษที่จะมาระงับยับยั้งไม่ให้มีการเลือกตั้ง หรือเว้นวรรคนักการเมืองระยะเวลาหนึ่ง เพื่อปฏิรูปปฏิวัติประเทศไทยอย่างจริงจัง
แม้จะยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้ แต่ปรากฏการณ์นี้ก็สะท้อนให้ห็นว่า หลายฝ่ายต่างเห็นพ้องต้องกันว่า การเมืองไทยในปัจจุบัน ได้มาถึงจุดอับทางตันแล้วจริงๆ ยกเว้นฝ่ายนักการเมืองที่ยังดึงดันที่จะยึดการเลือกตั้งเป็นสรณะ โดยไม่ใส่ใจต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ท้วงติงรอบข้าง และไม่ใส่ใจที่จะปรับเปลี่ยนให้วิถีทางการเมืองหลุดพ้นจากวังวนน้ำเน่าที่ท่วมขังกัดกร่อนสังคมไทยซ้ำซากตลอดมา
วิธีการหนึ่งที่การเมืองภาคประชาชน กำลังคิดจะใช้พลังมวลชนเพื่อตอบโต้ฝ่ายนักการเมือง หากหลีกหนีไม่พ้นที่จะต้องไปเลือกตั้ง ตามวาระที่ฝ่ายการเมืองกำหนดในครั้งหน้านี้ ก็คือ การรณรงค์ให้ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง ร่วมใจกันเข้าคูหากาช่องที่ไม่เลือก หรือที่พูดกันเป็นคำฮิตติดปากว่า “Vote No”
ผมออกจะเห็นด้วยกับความคิดและแนวทางการต่อสู้ของการเมืองภาคประชาชนด้วยวิธีการนี้ที่สงบสันติและถูกต้องตามทำนองคลองธรรมอย่างแท้จริง และอยากเห็นภาพการลุกฮือขึ้นของพลังเงียบที่ดาหน้าเข้าคูหาการเลือกตั้งและพร้อมใจกัน Vote No เพื่อปฏิเสธระบบการเมืองอันล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ในการเลือกตั้งที่ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ในเร็ววันนี้
และถ้าคะแนน Vote No ออกมามากถึงครึ่งหรือ 30-40% แม้ว่าในทางกฎกติกาอาจไม่มีผลทางกฎหมายการเลือกตั้ง แต่อย่างน้อยที่สุด ย่อมมีผลสะเทือนต่อการเมืองไทยในภาพรวมอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าอารมณ์เบื่อหน่ายของสังคมไทยต่อบรรดาแก๊งการเมืองที่ทำร้ายทำลายประเทศชาติมาช้านาน ทำให้คะแนน Vote No ออกมาเกินกว่า 50% ของผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ก็อยากจะรู้นักว่า นักเลือกตั้งและแก๊งการเมืองไทย ยังจะกล้าหน้าด้านหน้าทนลอยหน้าลอยตาอ้างสิทธิ์ว่า เป็นผู้แทนปวงชนได้อีกต่อไปหรือไม่?
ผมอยากเห็นปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจริงในยุคสมัยนี้ โดยสิ่งที่อยากจะขอร้องให้เป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญก็คือ พรรคการเมืองใหม่จะต้องงดเว้นไม่ร่วมสังฆกรรมกับการเลือกตั้งในครั้งต่อไป เพื่อรวบรวมพลัง Vote No ให้มีศักยภาพ ตบหน้าและสั่งสอนนักการเมืองไทย
และขอวิงวอนให้พลังเงียบที่ยังเงียบเชียบอยู่ ได้ช่วยกันออกมาแสดงพลังต่อต้านการเมืองสารเลวแบบอารยชน สงบ สันติ และอหิงสา ด้วยการ Vote No กันทั้งประเทศ ให้บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์การเมืองไทย สำหรับคนรุ่นหลังในยุคต่อๆ ไป ได้เป็นแบบอย่างการต่อสู้ของการเมืองภาคประชาชน