บทความนี้จะว่าผมตั้งใจจะตอบอาจารย์ชวินทร์ ลีนะบรรจง และอาจารย์สุวินัย ภรณวลัย ในฐานะมิตรร่วมรบก็ได้ แต่ความจริงถึงแม้อาจารย์ทั้งสองท่านจะไม่เขียนบทความไม่เห็นด้วยกับการ Vote No ขึ้นมา ผมก็ต้องเขียนบทความชิ้นนี้ดังความข้างล่างนี้อยู่ดี
มีคนที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอ Vote No (กาช่องไม่เลือกใคร) ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า เป็นการปิ้งปลาประชดแมว เขาคงหมายถึง พันธมิตรฯ เป็นปลา แต่จะหมายถึงแมวคือ พรรคเพื่อไทยลิ่วล้อของทักษิณหรือระบอบการเมืองน้ำเน่าหรือทั้งสองอย่างหรือไม่ผมไม่รู้
แต่ถ้าเราเป็นปลา เรากำลังเป็นปลาที่ว่ายทวนน้ำ ไม่ใช่ปลาตายที่ลอยน้ำให้นักการเมือง (หรืออำนาจอื่นใด) ใช้เราเป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจผลประโยชน์ต่อไป และไม่ใช่ปลาปิ้งบนไฟเหนือตระแกรงเหล็กเตาอั้งโล่อย่างแน่นอน
แน่นอนครับพรรคเพื่อไทยอาจได้ประโยชน์จากการนี้เพราะมีมวลชนแดงที่เหนียวแน่น พรรคประชาธิปัตย์นั้นเจ๊งแน่ เพราะเที่ยวที่แล้วพันธมิตรฯเทคะแนนให้ทั้งหมดยังสู้พรรคพลังประชาชน(เพื่อไทย)ไม่ได้ คราวนี้คงจอดไม่ต้องแจว และคงหาปลาได้แค่ริมฝั่ง อดหยิบปลาชิ้นมันอีกต่อไป
พวกเราและสังคมส่วนหนึ่งรู้ว่า การเมืองแบบพรรคเพื่อไทยนั้นไปไม่รอด เรามีประสบการณ์จากการเมืองที่มีนายทุนพรรคเป็นเจ้าของ เรารู้รสชาติของความชั่วร้ายของระบอบทักษิณ แต่เราก็ได้รู้แล้วไม่ใช่หรือว่า การเมืองแบบระบอบอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้แตกต่างกัน
เรารู้แล้วว่า พรรคประชาธิปัตย์นั้นทำงานไม่เป็น และไม่ได้ทุจริตน้อยไปกว่าระบอบทักษิณ หอการค้าไทยได้ทำวิจัยออกมาแล้วว่า ยุคนี้เป็นยุคที่ทุจริตมากที่สุด รัฐบาลชุดนี้ได้ให้บทเรียนกับสังคมว่า อย่ามองนักการเมืองที่ภาพลักษณ์ภายนอก
และความจริงเราก็ควรรู้แต่ต้นแล้วว่า คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำงานเลยมาทั้งชีวิตอย่างนายอภิสิทธิ์นั้น เมื่อเข้าสู่การเมืองจนก้าวเป็นผู้นำประเทศเขาจะนำพาพวกเราไปได้อย่างไร คำตอบก็มีอยู่แล้วมิได้อยู่ในสายลม
วาทกรรมแบบว่า ไม่เลือกเราเขามาแน่จะถูกนำมาใช้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะเรารู้แล้วว่าจัญไรไปอัปรีย์(สิทธิ์)มานั้นเป็นอย่างไร
ภาพแห่งความเป็นจริงของนายอภิสิทธิ์ทำให้สังคมไทยมีทัศนคติและค่านิยมที่เลวร้ายว่า ต้องการนักการเมืองที่คอร์รัปชันแต่ทำงานเป็นมากกว่านักการเมืองที่ทำงานไม่เป็น นี่คือเชื้อโรคจะจะทำลายชาติในที่น่าอันตรายยิ่งกว่า
ดังนั้นสำหรับพันธมิตรฯ ที่ตื่นรู้ เราจึงไม่ต้องการทั้งสองอย่าง คือ ทั้งนักการเมืองที่คอร์รัปชัน และทั้งนักการเมืองทำงานไม่เป็น
ถ้าพรรคเพื่อไทยเข้ามามีอำนาจ มันจะเป็นคำตอบและบทเรียนให้กลุ่มอำนาจที่หนุนเนื่องพรรคประชาธิปัตย์อยู่นี้ได้รับบทเรียนว่า ประชาชน(ในนามพันธมิตรฯ) นั้น มิใช่จะมาใช้พวกเราเป็นเพียงเครื่องมือในการเล่นเกมอำนาจแล้วละทิ้งพวกเราไว้ข้างถนนเหมือนเด็ดดอกไม้ริมทางในวันที่สมประโยชน์ในอำนาจอีกต่อไป
และถ้าพรรคเพื่อไทยเข้าสู่อำนาจแล้วชั่ว เราก็สู้กับพวกมันอีก เพราะนี่คือพันธกิจของเรา พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
พรรคการเมืองใหม่เป็นความหวังของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่หวังเข้าไปสร้างการเมืองใหม่ แต่ถ้าเรามองไม่เห็นความเป็นจริง ไม่ยอมรับความเป็นจริง ไม่รู้จักอดทนอดกลั้น อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ไม่รู้จักประเมินตัวเอง การเมืองใหม่ก็คงเป็นเพียงปลา 2-3 ตัวในแอ่งน้ำเน่า ผมต่อให้พรรคการเมืองใหม่ได้ที่นั่งสัก 10 ที่นั่ง(ซึ่งมีคนบอกว่ายากมาก) ก็จะมีประโยชน์อะไร
เพราะ 1.การเมืองโดยระบบรัฐสภาที่เป็นอยู่ในปัจจุบันล้มเหลวไม่สามารถที่จะเป็นกลไกในการตัดสินใจหรือแก้ไขปัญหาของประเทศได้อย่างถูกต้องตามที่ควรจะเป็นในระบบประชาธิปไตย ดังนั้นการนำปัญหาของชาติเข้าไปสู่รัฐสภาเพื่อให้มีการตัดสินใจเพื่อแก้ไขจึงทำไม่ได้ และเมื่อกลไกนี้ทำงานไม่ได้จะมีไว้ทำไม และ
2.นักการเมืองในระบบการเมืองในปัจจุบันมิได้เป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทยที่แท้จริง เพราะส่วนใหญ่อาศัยการเลือกตั้งเป็นข้ออ้างความชอบธรรมในการเข้าสู่ตำแหน่ง ส.ส.-ส.ว.โดยมิได้สนใจว่าจะได้ตำแหน่งมาโดยการซื้อสิทธิขายเสียงหรือไม่ ดังนั้นจึงมิได้มีแนวคิดที่จะรักษาผลประโยชน์ของปวงชนที่เลือกตนมาแต่อย่างใด เพราะตำแหน่งที่ได้มานั้นมิได้รับบุญคุณหรือความไว้วางใจจากประชาชนแต่อย่างใด หากแต่เป็นความสัมพันธ์เชิงธุรกิจต่างตอบแทนเงินที่ลงทุนซื้อเสียงมาเท่านั้น เมื่อคนลงคะแนนขายเสียงได้เงินไปแล้วจะมาทวงบุญคุณหรือความรับผิดชอบอันใดอีก การตัดสินใจเมื่อได้รับการเลือกตั้งจึงไม่ต้องคำนึงถึงประโยชน์อื่นใดยกเว้นแต่เพียงผลประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ
แน่นอนว่าสมมติฐานข้างต้นนี่ไม่ใช่สาเหตุของปัญหา แต่เป็นอาการและผล แต่การเมืองนั้นจะต้องมองที่ความเป็นจริงไม่ใช่ “อุดมคติ” เพียงอย่างเดียว เรารู้ว่า Vote No ครั้งนี้อาจจะไม่ใช่เป็นสึนามิทางการเมืองที่สามารถกวาดนักการเมืองชั่วได้ในชั่วพริบตา แต่จะมีประโยชน์อะไรถ้าจะลงไปว่ายอยู่ในน้ำที่เน่าเหม็น
เหมือนรู้สมุฏฐานของโรคเอดส์และมะเร็ง แต่ยังให้กินยาพาราเซตามอล เพราะคิดว่ามันจะพอระงับปวดได้บ้าง
ความจริงแล้ว ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการตั้งพรรคการเมืองใหม่ตั้งแต่ต้น แต่เมื่อพรรคตั้งขึ้นมาแล้วตามมติของชาวพันธมิตรฯ ผมก็ยอมรับ และเมื่อมีเสียงเรียกร้องให้ “ยุบ” พรรคการเมืองใหม่ ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วย แต่ผมสนับสนุนในแนวคิดที่จะไม่ลงเลือกตั้ง (ออกตัวไว้ว่า ความคิดของผมนั้นเป็นความเห็นในฐานะปัจเจกและคงไม่เป็นการกดดันพรรคเพราะผมที่ไม่มีมีสิทธิมีเสียงและมีพลังต่อรองอะไรในพรรค และผมไม่ใช่สมาชิกพรรค)
การหาทางให้คนดีเข้าสภา เป็นคำพูดที่พูดร้อยครั้งก็ถูกร้อยครั้ง เป็น “อุดมคติที่สวยหรู” เหมือนบอกว่าหน้าฝนควรจะพกร่มออกจากบ้าน แต่การทำให้คนดีเข้าสภามันเป็นไปได้จริงหรือในยุคที่ “ทุน” เป็นเจ้าของพรรค และ ส.ส.มีค่าหัว 50-60 ล้านบาท แล้วเรามีที่ยืนให้กับคนดีในระบบที่เลวได้อย่างไร เราจะเลี้ยงปลาในน้ำที่เน่าเหม็นได้หรือ แล้วทำไมเราไม่เทน้ำดีลงไปชำระน้ำเน่าเสียก่อน การ Vote No ถ้าเหมือนการเทคะแนนทิ้งน้ำก็คือการเติมน้ำดีเพื่อเจือจางน้ำสกปรกนั่นเอง
เราเป็นประชาธิปไตยแค่ถึงเวลาก็เข้าคูหาไปกาบัตรเลือกตั้ง และหลังจากนั้นมันก็ปกครองเราด้วยเผด็จการในพรรคและรัฐสภา
ดังนั้น การ Vote No ก็คือ ทางออกของการแก้ระบบด้วย “อำนาจในระบบ” ที่ประชาชนมีอยู่ เพราะ Vote No คือ สิทธิของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย มันทำให้การเข้าคูหา 4 วินาทีมีค่า และแม้ว่าสื่อที่เชียร์พรรคเพื่อไทยอย่างค่ายมติชนจะพากันหนุนมติVote No ของเราอย่างมีนัยซ่อนเร้น จนห่วงว่าจะเป็นการปิ้งปลาประชดแมวก็ตาม
แต่ Vote No ที่ถูกเปรียบเป็นการเทคะแนนทิ้งน้ำ กับการเอาปลาดี 4-5 ตัวไปว่ายในน้ำเน่าอย่างไหนจะมีประโยชน์มากกว่ากัน
ผมไม่มั่นใจหรอกครับว่า การ Vote No ซึ่งจะเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าประชาชนไม่พอใจทั้งระบบการเมืองและนักการเมืองที่เป็นอยู่ จะมีมากพอจนเป็นแรงกดดันให้เกิดการปฏิรูปการเมืองจากนอกสภาหรือไม่
แต่สำหรับผมการช่วยกันเทน้ำดีลงในน้ำเน่ากันคนละหยดสองหยด ยังดีกว่าการปล่อยปลาลงในน้ำเน่า
มีคนที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอ Vote No (กาช่องไม่เลือกใคร) ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า เป็นการปิ้งปลาประชดแมว เขาคงหมายถึง พันธมิตรฯ เป็นปลา แต่จะหมายถึงแมวคือ พรรคเพื่อไทยลิ่วล้อของทักษิณหรือระบอบการเมืองน้ำเน่าหรือทั้งสองอย่างหรือไม่ผมไม่รู้
แต่ถ้าเราเป็นปลา เรากำลังเป็นปลาที่ว่ายทวนน้ำ ไม่ใช่ปลาตายที่ลอยน้ำให้นักการเมือง (หรืออำนาจอื่นใด) ใช้เราเป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจผลประโยชน์ต่อไป และไม่ใช่ปลาปิ้งบนไฟเหนือตระแกรงเหล็กเตาอั้งโล่อย่างแน่นอน
แน่นอนครับพรรคเพื่อไทยอาจได้ประโยชน์จากการนี้เพราะมีมวลชนแดงที่เหนียวแน่น พรรคประชาธิปัตย์นั้นเจ๊งแน่ เพราะเที่ยวที่แล้วพันธมิตรฯเทคะแนนให้ทั้งหมดยังสู้พรรคพลังประชาชน(เพื่อไทย)ไม่ได้ คราวนี้คงจอดไม่ต้องแจว และคงหาปลาได้แค่ริมฝั่ง อดหยิบปลาชิ้นมันอีกต่อไป
พวกเราและสังคมส่วนหนึ่งรู้ว่า การเมืองแบบพรรคเพื่อไทยนั้นไปไม่รอด เรามีประสบการณ์จากการเมืองที่มีนายทุนพรรคเป็นเจ้าของ เรารู้รสชาติของความชั่วร้ายของระบอบทักษิณ แต่เราก็ได้รู้แล้วไม่ใช่หรือว่า การเมืองแบบระบอบอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้แตกต่างกัน
เรารู้แล้วว่า พรรคประชาธิปัตย์นั้นทำงานไม่เป็น และไม่ได้ทุจริตน้อยไปกว่าระบอบทักษิณ หอการค้าไทยได้ทำวิจัยออกมาแล้วว่า ยุคนี้เป็นยุคที่ทุจริตมากที่สุด รัฐบาลชุดนี้ได้ให้บทเรียนกับสังคมว่า อย่ามองนักการเมืองที่ภาพลักษณ์ภายนอก
และความจริงเราก็ควรรู้แต่ต้นแล้วว่า คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำงานเลยมาทั้งชีวิตอย่างนายอภิสิทธิ์นั้น เมื่อเข้าสู่การเมืองจนก้าวเป็นผู้นำประเทศเขาจะนำพาพวกเราไปได้อย่างไร คำตอบก็มีอยู่แล้วมิได้อยู่ในสายลม
วาทกรรมแบบว่า ไม่เลือกเราเขามาแน่จะถูกนำมาใช้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะเรารู้แล้วว่าจัญไรไปอัปรีย์(สิทธิ์)มานั้นเป็นอย่างไร
ภาพแห่งความเป็นจริงของนายอภิสิทธิ์ทำให้สังคมไทยมีทัศนคติและค่านิยมที่เลวร้ายว่า ต้องการนักการเมืองที่คอร์รัปชันแต่ทำงานเป็นมากกว่านักการเมืองที่ทำงานไม่เป็น นี่คือเชื้อโรคจะจะทำลายชาติในที่น่าอันตรายยิ่งกว่า
ดังนั้นสำหรับพันธมิตรฯ ที่ตื่นรู้ เราจึงไม่ต้องการทั้งสองอย่าง คือ ทั้งนักการเมืองที่คอร์รัปชัน และทั้งนักการเมืองทำงานไม่เป็น
ถ้าพรรคเพื่อไทยเข้ามามีอำนาจ มันจะเป็นคำตอบและบทเรียนให้กลุ่มอำนาจที่หนุนเนื่องพรรคประชาธิปัตย์อยู่นี้ได้รับบทเรียนว่า ประชาชน(ในนามพันธมิตรฯ) นั้น มิใช่จะมาใช้พวกเราเป็นเพียงเครื่องมือในการเล่นเกมอำนาจแล้วละทิ้งพวกเราไว้ข้างถนนเหมือนเด็ดดอกไม้ริมทางในวันที่สมประโยชน์ในอำนาจอีกต่อไป
และถ้าพรรคเพื่อไทยเข้าสู่อำนาจแล้วชั่ว เราก็สู้กับพวกมันอีก เพราะนี่คือพันธกิจของเรา พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
พรรคการเมืองใหม่เป็นความหวังของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่หวังเข้าไปสร้างการเมืองใหม่ แต่ถ้าเรามองไม่เห็นความเป็นจริง ไม่ยอมรับความเป็นจริง ไม่รู้จักอดทนอดกลั้น อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ไม่รู้จักประเมินตัวเอง การเมืองใหม่ก็คงเป็นเพียงปลา 2-3 ตัวในแอ่งน้ำเน่า ผมต่อให้พรรคการเมืองใหม่ได้ที่นั่งสัก 10 ที่นั่ง(ซึ่งมีคนบอกว่ายากมาก) ก็จะมีประโยชน์อะไร
เพราะ 1.การเมืองโดยระบบรัฐสภาที่เป็นอยู่ในปัจจุบันล้มเหลวไม่สามารถที่จะเป็นกลไกในการตัดสินใจหรือแก้ไขปัญหาของประเทศได้อย่างถูกต้องตามที่ควรจะเป็นในระบบประชาธิปไตย ดังนั้นการนำปัญหาของชาติเข้าไปสู่รัฐสภาเพื่อให้มีการตัดสินใจเพื่อแก้ไขจึงทำไม่ได้ และเมื่อกลไกนี้ทำงานไม่ได้จะมีไว้ทำไม และ
2.นักการเมืองในระบบการเมืองในปัจจุบันมิได้เป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทยที่แท้จริง เพราะส่วนใหญ่อาศัยการเลือกตั้งเป็นข้ออ้างความชอบธรรมในการเข้าสู่ตำแหน่ง ส.ส.-ส.ว.โดยมิได้สนใจว่าจะได้ตำแหน่งมาโดยการซื้อสิทธิขายเสียงหรือไม่ ดังนั้นจึงมิได้มีแนวคิดที่จะรักษาผลประโยชน์ของปวงชนที่เลือกตนมาแต่อย่างใด เพราะตำแหน่งที่ได้มานั้นมิได้รับบุญคุณหรือความไว้วางใจจากประชาชนแต่อย่างใด หากแต่เป็นความสัมพันธ์เชิงธุรกิจต่างตอบแทนเงินที่ลงทุนซื้อเสียงมาเท่านั้น เมื่อคนลงคะแนนขายเสียงได้เงินไปแล้วจะมาทวงบุญคุณหรือความรับผิดชอบอันใดอีก การตัดสินใจเมื่อได้รับการเลือกตั้งจึงไม่ต้องคำนึงถึงประโยชน์อื่นใดยกเว้นแต่เพียงผลประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ
แน่นอนว่าสมมติฐานข้างต้นนี่ไม่ใช่สาเหตุของปัญหา แต่เป็นอาการและผล แต่การเมืองนั้นจะต้องมองที่ความเป็นจริงไม่ใช่ “อุดมคติ” เพียงอย่างเดียว เรารู้ว่า Vote No ครั้งนี้อาจจะไม่ใช่เป็นสึนามิทางการเมืองที่สามารถกวาดนักการเมืองชั่วได้ในชั่วพริบตา แต่จะมีประโยชน์อะไรถ้าจะลงไปว่ายอยู่ในน้ำที่เน่าเหม็น
เหมือนรู้สมุฏฐานของโรคเอดส์และมะเร็ง แต่ยังให้กินยาพาราเซตามอล เพราะคิดว่ามันจะพอระงับปวดได้บ้าง
ความจริงแล้ว ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการตั้งพรรคการเมืองใหม่ตั้งแต่ต้น แต่เมื่อพรรคตั้งขึ้นมาแล้วตามมติของชาวพันธมิตรฯ ผมก็ยอมรับ และเมื่อมีเสียงเรียกร้องให้ “ยุบ” พรรคการเมืองใหม่ ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วย แต่ผมสนับสนุนในแนวคิดที่จะไม่ลงเลือกตั้ง (ออกตัวไว้ว่า ความคิดของผมนั้นเป็นความเห็นในฐานะปัจเจกและคงไม่เป็นการกดดันพรรคเพราะผมที่ไม่มีมีสิทธิมีเสียงและมีพลังต่อรองอะไรในพรรค และผมไม่ใช่สมาชิกพรรค)
การหาทางให้คนดีเข้าสภา เป็นคำพูดที่พูดร้อยครั้งก็ถูกร้อยครั้ง เป็น “อุดมคติที่สวยหรู” เหมือนบอกว่าหน้าฝนควรจะพกร่มออกจากบ้าน แต่การทำให้คนดีเข้าสภามันเป็นไปได้จริงหรือในยุคที่ “ทุน” เป็นเจ้าของพรรค และ ส.ส.มีค่าหัว 50-60 ล้านบาท แล้วเรามีที่ยืนให้กับคนดีในระบบที่เลวได้อย่างไร เราจะเลี้ยงปลาในน้ำที่เน่าเหม็นได้หรือ แล้วทำไมเราไม่เทน้ำดีลงไปชำระน้ำเน่าเสียก่อน การ Vote No ถ้าเหมือนการเทคะแนนทิ้งน้ำก็คือการเติมน้ำดีเพื่อเจือจางน้ำสกปรกนั่นเอง
เราเป็นประชาธิปไตยแค่ถึงเวลาก็เข้าคูหาไปกาบัตรเลือกตั้ง และหลังจากนั้นมันก็ปกครองเราด้วยเผด็จการในพรรคและรัฐสภา
ดังนั้น การ Vote No ก็คือ ทางออกของการแก้ระบบด้วย “อำนาจในระบบ” ที่ประชาชนมีอยู่ เพราะ Vote No คือ สิทธิของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย มันทำให้การเข้าคูหา 4 วินาทีมีค่า และแม้ว่าสื่อที่เชียร์พรรคเพื่อไทยอย่างค่ายมติชนจะพากันหนุนมติVote No ของเราอย่างมีนัยซ่อนเร้น จนห่วงว่าจะเป็นการปิ้งปลาประชดแมวก็ตาม
แต่ Vote No ที่ถูกเปรียบเป็นการเทคะแนนทิ้งน้ำ กับการเอาปลาดี 4-5 ตัวไปว่ายในน้ำเน่าอย่างไหนจะมีประโยชน์มากกว่ากัน
ผมไม่มั่นใจหรอกครับว่า การ Vote No ซึ่งจะเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าประชาชนไม่พอใจทั้งระบบการเมืองและนักการเมืองที่เป็นอยู่ จะมีมากพอจนเป็นแรงกดดันให้เกิดการปฏิรูปการเมืองจากนอกสภาหรือไม่
แต่สำหรับผมการช่วยกันเทน้ำดีลงในน้ำเน่ากันคนละหยดสองหยด ยังดีกว่าการปล่อยปลาลงในน้ำเน่า