ASTVผู้จัดการรายวัน-ไทยเล็งใช้เปรูเป็นฮับด้านโลจิสติกส์กระจายสินค้าไทยสู่ตลาดอเมริกาใต้ ส่วนเปรูใช้ไทยบุกเจาะตลาดอาเซียน หลังที่ 2 ประเทศได้เดินหน้าทำ FTA ร่วมกันแล้ว เผยไทยมีโอกาสนำเข้าสินค้าวัตถุดิบป้อนอุตสาหกรรม ทั้งแร่สังกะสี ทองแดง อะลูมิเนียม และส่งออกข้าว รถปิกอัพ เครื่องใช้ไฟฟ้า พร้อมมีโอกาสร่วมลงทุนอีกเพียบ
นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยในการแถลงข่าวร่วมกับเอกอัครราชทูตของเปรู ประจำประเทศไทย ในโอกาสร่วมสัมมนา เรื่อง "โอกาสทางธุรกิจไทย-เปรู" วานนี้ (30 มี.ค.) ว่า ไทยได้เล็งเห็นว่าเปรูเป็นตลาดที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจและมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์การค้าและการลงทุนของไทย โดยเปรูเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าไทยไปสู่ประเทศต่างๆ ในอเมริกาใต้
เนื่องจากเปรูมีที่ตั้ง ซึ่งมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์การค้า โดยอยู่ระหว่างภูมิภาคอเมริกากลาง เช่น โคลอมเบีย ปานามา เอกวาดอร์ เวเนซุเอลาและอเมริกาใต้ เช่น บราซิล อาร์เจนตินา และชิลี และมีการพัฒนาเครือข่ายเส้นทางคมนาคมที่เชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบ จากท่าอากาศยาน ท่าเรือและสู่ทางบกทั้งถนนและรถไฟ ระหว่างเปรูและประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งมีทางหลวงเชื่อมจากเปรูเข้าสู่บราซิล เพื่อเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและแอตแลนติก ทำให้การขนส่งสินค้าและระบบโลจิสติกส์ สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
ขณะที่เปรูได้เห็นศักยภาพทางการค้าของไทยด้านการเป็นประตูและศูนย์กลางทางการค้าและการลงทุนของเปรูในภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากไทยมีความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งเชิงภูมิศาสตร์ ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความสะดวกในการเข้าถึงกับประเทศอาเซียนในด้านเส้นทางคมนาคมทั้งทางถนน และทางอากาศ รวมถึงท่าเรือโดยเฉพาะท่าเรือแหลมฉบัง
นายอลงกรณ์กล่าวว่า ไทยและเปรูได้ตกลงทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างกันแล้ว ทำให้การค้า การลงทุนขยายตัวได้ดีขึ้น โดยสินค้าที่ไทยต้องการนำเข้าจากเปรูส่วนใหญ่เป็นสินค้าวัตถุดิบ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของเปรู ได้แก่ แร่สังกะสี ทองแดง ปลาหมึกแช่เย็น/แช่แข็ง ปลาป่น น้ำมันปลา สังกะสี องุ่นสด อัญมณี อะลูมิเนียม เคมีภัณฑ์ และฝ้าย ในขณะที่ไทยส่งออกไปเปรูส่วนใหญ่เป็นสินค้าสำเร็จรูป เช่น รถปิกอัพ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น ข้าว เครื่องยนต์ เตาอบ ไมโครเวฟ ยางรถยนต์และจักรยานยนต์ และวัตถุดิบสินค้าอุตสาหกรรม เช่น เม็ดพลาสติก ด้ายและเส้นใย
นอกจากนี้ ไทยยังสามารถร่วมมือกับเปรูในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีศักยภาพและสนใจร่วมกัน เช่น เหมืองแร่ ประมง ก่อสร้าง โลจิสติกส์ และการท่องเที่ยว
ปัจจุบัน เปรูเป็นคู่ค้าอันดับที่ 5 ของไทยในภูมิภาคอเมริกาใต้ รองจาก บราซิล และอาร์เจนตินา สำหรับปี 2553 การค้ารวมมีมูลค่า 414.86 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 213.28% จากปี 2552 เป็นการส่งออก มูลค่า 309.24 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 221.58% และการนำเข้ามูลค่า 105.62 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 191.27%
นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยในการแถลงข่าวร่วมกับเอกอัครราชทูตของเปรู ประจำประเทศไทย ในโอกาสร่วมสัมมนา เรื่อง "โอกาสทางธุรกิจไทย-เปรู" วานนี้ (30 มี.ค.) ว่า ไทยได้เล็งเห็นว่าเปรูเป็นตลาดที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจและมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์การค้าและการลงทุนของไทย โดยเปรูเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าไทยไปสู่ประเทศต่างๆ ในอเมริกาใต้
เนื่องจากเปรูมีที่ตั้ง ซึ่งมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์การค้า โดยอยู่ระหว่างภูมิภาคอเมริกากลาง เช่น โคลอมเบีย ปานามา เอกวาดอร์ เวเนซุเอลาและอเมริกาใต้ เช่น บราซิล อาร์เจนตินา และชิลี และมีการพัฒนาเครือข่ายเส้นทางคมนาคมที่เชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบ จากท่าอากาศยาน ท่าเรือและสู่ทางบกทั้งถนนและรถไฟ ระหว่างเปรูและประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งมีทางหลวงเชื่อมจากเปรูเข้าสู่บราซิล เพื่อเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและแอตแลนติก ทำให้การขนส่งสินค้าและระบบโลจิสติกส์ สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
ขณะที่เปรูได้เห็นศักยภาพทางการค้าของไทยด้านการเป็นประตูและศูนย์กลางทางการค้าและการลงทุนของเปรูในภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากไทยมีความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งเชิงภูมิศาสตร์ ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความสะดวกในการเข้าถึงกับประเทศอาเซียนในด้านเส้นทางคมนาคมทั้งทางถนน และทางอากาศ รวมถึงท่าเรือโดยเฉพาะท่าเรือแหลมฉบัง
นายอลงกรณ์กล่าวว่า ไทยและเปรูได้ตกลงทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างกันแล้ว ทำให้การค้า การลงทุนขยายตัวได้ดีขึ้น โดยสินค้าที่ไทยต้องการนำเข้าจากเปรูส่วนใหญ่เป็นสินค้าวัตถุดิบ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของเปรู ได้แก่ แร่สังกะสี ทองแดง ปลาหมึกแช่เย็น/แช่แข็ง ปลาป่น น้ำมันปลา สังกะสี องุ่นสด อัญมณี อะลูมิเนียม เคมีภัณฑ์ และฝ้าย ในขณะที่ไทยส่งออกไปเปรูส่วนใหญ่เป็นสินค้าสำเร็จรูป เช่น รถปิกอัพ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น ข้าว เครื่องยนต์ เตาอบ ไมโครเวฟ ยางรถยนต์และจักรยานยนต์ และวัตถุดิบสินค้าอุตสาหกรรม เช่น เม็ดพลาสติก ด้ายและเส้นใย
นอกจากนี้ ไทยยังสามารถร่วมมือกับเปรูในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีศักยภาพและสนใจร่วมกัน เช่น เหมืองแร่ ประมง ก่อสร้าง โลจิสติกส์ และการท่องเที่ยว
ปัจจุบัน เปรูเป็นคู่ค้าอันดับที่ 5 ของไทยในภูมิภาคอเมริกาใต้ รองจาก บราซิล และอาร์เจนตินา สำหรับปี 2553 การค้ารวมมีมูลค่า 414.86 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 213.28% จากปี 2552 เป็นการส่งออก มูลค่า 309.24 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 221.58% และการนำเข้ามูลค่า 105.62 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 191.27%