ข่าวคราวภัยพิบัติทั้งในประเทศและต่างประเทศคงทำให้หลายคนรู้สึกสลดใจไม่น้อย กับโศกนาฎกรรมของมวลมนุษยชาติที่ดูเหมือนว่าหายนะกำลังคืบคลานกลืนกินโลกใบนี้เข้าไปทุกขณะ
แต่นั่นก็คงไม่ทำให้รู้สึกเศร้าสังเวชใจได้เท่ากับปัญหา “มนุษย์วิบัติ” ที่กำลังพยายามลากชาติบ้านเมืองสู่ความฉิบหายเหมือนที่ประเทศของเรากำลังประสบอยู่
สำหรับบุคคลที่ถูกจัดได้ว่าอยู่ในประเภท “มนุษย์วิบัติ”ในสังคมไทยก็มีให้เห็นกันมาก แต่มีชื่อ “สดศรี สัตยธรรม”ด้วยหรือไม่ ก็ต้องมาพิจารณากัน
“สดศรี”เป็นหนึ่งเดียวในกกต.ที่ออกมาตีโพยตีพายไม่รู้จบเกี่ยวกับปัญหาวิกฤติการเมือง รวมไปถึงการตีปลาหน้าไซเตรียมตัวไม่ทำหน้าที่ของตัวเองด้วยการขยับขยายหาหนทางที่ “สดศรี” เรียกว่า เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่ต้องดิ้นรนหาสิ่งที่ดีกว่า ซึ่งต้องเรียกว่าเป็นวิธีคิดที่ไม่เข้าท่า สำหรับคนที่มากด้วยวุฒิภาวะอาสาตนเข้ามาทำงานในองค์กรอิสระโดยไม่ได้มีใครเอาปืนไปจ่อคอหอยบีบบังคับให้ต้องมาประสบความยุ่งยากในการแบกภารกิจของบ้านเมือง
มาวันนี้ “สดศรี” ซึ่งเคยกระดี๊กระด๊าอย่างยิ่งในการเข้าแสดงวิสัยทัศน์กับสมาชิกวุฒิสภาเพื่อให้เลือกเธอเข้าไปเป็น กกต. จนกระทั่งผ่านการสรรหาของวุฒิสภาเป็นที่เรียบร้อยรอการโปรดเกล้าฯ แต่เกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 49 เสียก่อน ทำให้เธอเกือบฝันค้าง แต่อุบัติเหตุการเมืองดังกล่าวก็ไม่ได้กระทบกับสถานะ กกต.ของเธอ เพราะ คมช. ในขณะนั้นเลือกเอาทั้ง 5 รายชื่อที่ผ่านการคัดเลือกจากวุฒิสภามาทำหน้าที่สำคัญในการกำหนดชะตากรรมบ้านเมือง เพื่อกวาดล้างนักการเมืองขี้โกง
เมื่อเธอได้เป็น กกต. สมใจอยาก บทบาทของ “สดศรี” ยังวิ่งล็อบบี้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ไม่ให้ตัดวาระของ กกต.ชุดนี้เพราะจะไม่เป็นธรรมกับพวกเธอที่ต้องการเข้ามาทำหน้าที่ ทำให้ สสร.ในขณะนั้นกำหนดให้ กกต.ปัจจุบันมีอายุตามวาระของรัฐธรรมนูญคือ 6 ปี
นี่เหลืออีก 2 ปีจึงจะครบวาระที่เธอกระสันต์อยากอยู่ให้ครบ แต่เธอกลับป่าวประกาศว่า กดดันอย่างเหลือแสนในการทำหน้าที่จนอยากจะหนีจากภาระบนบ่าไปหางานที่สร้างสุขในชีวิตให้ได้มากกว่า
ถ้านั่นจะเป็นวิธีคิดของนักศึกษาเพิ่งจบที่ต้องดิ้นรนแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตให้ตัวเองก็ยังพอเข้าใจได้ แต่เมื่อแนวคิดลักษณะนี้มาอยู่กับ “สดศรี” ที่ผ่านการเป็นตุลาการมาครึ่งค่อนชีวิต จนถึงขนาดได้รับตำแหน่งหัวหน้าผู้พิพากษาในศาลฎีกา ย่อมต้องมีวุฒิภาวะและความเสียสละต่อชาติบ้านเมืองมากกว่าวิธีคิดฉาบฉวยที่เล็งแต่จะหาประโยชน์สุขใส่ตนเท่านั้น
ยิ่งเมื่อตัวเองอาสาเข้าไปทำหน้าที่สำคัญในองค์กรอิสระก็ยิ่งต้องประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นที่เคารพของคนทั่วไป และดำรงตนมุ่งมั่นในการทำงานให้สมกับที่ได้รับความไว้วางใจให้มีบทบาทในงานสำคัญของบ้านเมือง
ไม่มีเหตุผลที่ “สดศรี” จะหวาดกลัวความรุนแรงจากการเลือกตั้ง การทุจริต หรือแม้แต่ปัญหายุบพรรคที่อาจเกิดขึ้นได้ในภายหลัง เพราะทั้งหมดล้วนเป็นหน้าที่ที่เธอต้องทำโดยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ ฎีกา
อย่างที่บอกข้างต้นว่า ไม่มีใครเอาปืนไปจี้หัวให้เธอต้องมาเป็น กกต.แต่เธอเสนอหน้าขอเข้ามาทำหน้าที่นี้เอง
ดังนั้น การป่าวประกาศล่วงหน้าว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะเต็มไปด้วยปัญหา ทั้งๆ ที่ กกต.อีก 4 คนเขายังปฏิบัติภารกิจของตัวเองด้วยความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ และไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกติ มีเพียง “สดศรี” ที่พยายาม “สร้างความผิดปกติ” ให้เกิดขึ้น
ทำให้อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่คือ เพื่อที่เธอจะได้มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างสุขสบายโดยไม่ต้องทำงานหนักในบั้นปลายของชีวิตใช่หรือไม่?
เพราะมันไปสอดรับกับคนบางกลุ่มที่พยายามออกแบบสถานการณ์ปูทางให้การเลือกตั้งครั้งนี้มากไปด้วยปัญหา ทั้งการประโคมข่าวทุจริตเลือกตั้ง และการเลือกตั้งที่ผิดกฎหมาย ทั้ง ๆ ที่ไม่มีสัญญาณใดจากรัฐบาลและรัฐสภาว่า การพิจารณาแก้ไขกฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั้ง 3 ฉบับ จะแท้งไม่ทันกำหนดไม่เกินสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคมตามที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศจะยุบสภา
หรือแม้ว่ากฎหมายลูกทั้งสามฉบับจะแก้ไขไม่ทัน กกต.อีก 4 คนเขาก็ยืนยันตรงกันว่าออกระเบียบได้ โดยหยิบเอาประเด็นตามที่ได้เสนอไปในกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาวาระแรกของสภาผู้แทนราษฎรไปแล้วมาใช้ได้ โดยไม่น่าจะมีปัญหาในข้อกฎหมายตามมา
แต่ “สดศรี” ก็ยังฟูมฟายตีอกชกหัวว่า ถ้าจะต้องออกระเบียบเธอจะไม่ยอมร่วมลงชื่อด้วย
ถ้าต้องการกวนน้ำให้ขุ่นอย่างนี้ ลาออกไปเลยดีกว่า อย่าอยู่เป็นตัวถ่วงความเจริญของ กกต.อีกต่อไปเลย เพราะชาติบ้านเมืองต้องการคนเสียสละมาปลดเปลื้องทุกข์ให้กับแผ่นดิน ไม่ใช่คนซับซ้อนที่คิดแต่จะฉกฉวยโอกาสจากสถานการณ์
สำหรับคณะกรรมการสรรหาทุกองค์กรอิสระที่ “สดศรี” บอกว่าจะไปสมัคร คงต้องขอเตือนล่วงหน้าว่าอย่าได้คิดผิดทำพลาดเลือกคนอย่าง “สดศรี” ไปสร้างความยุ่งยากให้กับองค์กรและสร้างภาระให้กับบ้านเมืองอย่างเด็ดขาด
ที่สำคัญสังคมต้องร่วมตรวจสอบด้วยว่า “ความผิดปกติ” ที่ สดศรีพยายามวาดภาพให้สังคมไทยเกิดความหวาดกลัวการเลือกตั้งนั้น เป็นความปริวิตกตามธรรมชาติของหญิงวัยทอง หรือแท้จริงแล้วเธอคือ “ตัวละคร” สำคัญที่คนแดนไกลกำหนดบทบาทให้เล่น
วางแผนให้เกิดปัญหากับการเลือกตั้ง จนนำไปสู่การไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งและการป่วนบ้านเมืองครั้งใหญ่ยั่วให้ทหารออกมาทำรัฐประหาร เพื่อให้คนเสื้อแดงตลบหลังทำการปฏิวัติประชาชนเปลี่ยนแปลงประเทศแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
สถานการณ์ขณะนี้ถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของบ้านเมือง ที่คนไทยต้องยืนยันถึงความเข้มแข็งที่เราต้องการรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่าการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
แต่มันคือการเปิดบานประตูเพื่อให้ชาติก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับการยืนหยัดของสังคมไทยที่จะประกาศให้ชาวโลกรับรู้ว่า ประเทศไทยสามารถก้าวข้ามวิกฤติการเมืองพัฒนาระบอบประชาธิปไตยอย่างยั่งยืนตามกติกา
ไม่ใช่วิธีการนอกระบบที่ไม่เพียงแต่จะเพิ่มบาดแผลให้สังคมไทยมากขึ้นแต่ยังสุ่มเสี่ยงที่จะเข้าทางกลุ่มคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประเทศอีกด้วย
แต่นั่นก็คงไม่ทำให้รู้สึกเศร้าสังเวชใจได้เท่ากับปัญหา “มนุษย์วิบัติ” ที่กำลังพยายามลากชาติบ้านเมืองสู่ความฉิบหายเหมือนที่ประเทศของเรากำลังประสบอยู่
สำหรับบุคคลที่ถูกจัดได้ว่าอยู่ในประเภท “มนุษย์วิบัติ”ในสังคมไทยก็มีให้เห็นกันมาก แต่มีชื่อ “สดศรี สัตยธรรม”ด้วยหรือไม่ ก็ต้องมาพิจารณากัน
“สดศรี”เป็นหนึ่งเดียวในกกต.ที่ออกมาตีโพยตีพายไม่รู้จบเกี่ยวกับปัญหาวิกฤติการเมือง รวมไปถึงการตีปลาหน้าไซเตรียมตัวไม่ทำหน้าที่ของตัวเองด้วยการขยับขยายหาหนทางที่ “สดศรี” เรียกว่า เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่ต้องดิ้นรนหาสิ่งที่ดีกว่า ซึ่งต้องเรียกว่าเป็นวิธีคิดที่ไม่เข้าท่า สำหรับคนที่มากด้วยวุฒิภาวะอาสาตนเข้ามาทำงานในองค์กรอิสระโดยไม่ได้มีใครเอาปืนไปจ่อคอหอยบีบบังคับให้ต้องมาประสบความยุ่งยากในการแบกภารกิจของบ้านเมือง
มาวันนี้ “สดศรี” ซึ่งเคยกระดี๊กระด๊าอย่างยิ่งในการเข้าแสดงวิสัยทัศน์กับสมาชิกวุฒิสภาเพื่อให้เลือกเธอเข้าไปเป็น กกต. จนกระทั่งผ่านการสรรหาของวุฒิสภาเป็นที่เรียบร้อยรอการโปรดเกล้าฯ แต่เกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 49 เสียก่อน ทำให้เธอเกือบฝันค้าง แต่อุบัติเหตุการเมืองดังกล่าวก็ไม่ได้กระทบกับสถานะ กกต.ของเธอ เพราะ คมช. ในขณะนั้นเลือกเอาทั้ง 5 รายชื่อที่ผ่านการคัดเลือกจากวุฒิสภามาทำหน้าที่สำคัญในการกำหนดชะตากรรมบ้านเมือง เพื่อกวาดล้างนักการเมืองขี้โกง
เมื่อเธอได้เป็น กกต. สมใจอยาก บทบาทของ “สดศรี” ยังวิ่งล็อบบี้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ไม่ให้ตัดวาระของ กกต.ชุดนี้เพราะจะไม่เป็นธรรมกับพวกเธอที่ต้องการเข้ามาทำหน้าที่ ทำให้ สสร.ในขณะนั้นกำหนดให้ กกต.ปัจจุบันมีอายุตามวาระของรัฐธรรมนูญคือ 6 ปี
นี่เหลืออีก 2 ปีจึงจะครบวาระที่เธอกระสันต์อยากอยู่ให้ครบ แต่เธอกลับป่าวประกาศว่า กดดันอย่างเหลือแสนในการทำหน้าที่จนอยากจะหนีจากภาระบนบ่าไปหางานที่สร้างสุขในชีวิตให้ได้มากกว่า
ถ้านั่นจะเป็นวิธีคิดของนักศึกษาเพิ่งจบที่ต้องดิ้นรนแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตให้ตัวเองก็ยังพอเข้าใจได้ แต่เมื่อแนวคิดลักษณะนี้มาอยู่กับ “สดศรี” ที่ผ่านการเป็นตุลาการมาครึ่งค่อนชีวิต จนถึงขนาดได้รับตำแหน่งหัวหน้าผู้พิพากษาในศาลฎีกา ย่อมต้องมีวุฒิภาวะและความเสียสละต่อชาติบ้านเมืองมากกว่าวิธีคิดฉาบฉวยที่เล็งแต่จะหาประโยชน์สุขใส่ตนเท่านั้น
ยิ่งเมื่อตัวเองอาสาเข้าไปทำหน้าที่สำคัญในองค์กรอิสระก็ยิ่งต้องประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นที่เคารพของคนทั่วไป และดำรงตนมุ่งมั่นในการทำงานให้สมกับที่ได้รับความไว้วางใจให้มีบทบาทในงานสำคัญของบ้านเมือง
ไม่มีเหตุผลที่ “สดศรี” จะหวาดกลัวความรุนแรงจากการเลือกตั้ง การทุจริต หรือแม้แต่ปัญหายุบพรรคที่อาจเกิดขึ้นได้ในภายหลัง เพราะทั้งหมดล้วนเป็นหน้าที่ที่เธอต้องทำโดยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ ฎีกา
อย่างที่บอกข้างต้นว่า ไม่มีใครเอาปืนไปจี้หัวให้เธอต้องมาเป็น กกต.แต่เธอเสนอหน้าขอเข้ามาทำหน้าที่นี้เอง
ดังนั้น การป่าวประกาศล่วงหน้าว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะเต็มไปด้วยปัญหา ทั้งๆ ที่ กกต.อีก 4 คนเขายังปฏิบัติภารกิจของตัวเองด้วยความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ และไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกติ มีเพียง “สดศรี” ที่พยายาม “สร้างความผิดปกติ” ให้เกิดขึ้น
ทำให้อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่คือ เพื่อที่เธอจะได้มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างสุขสบายโดยไม่ต้องทำงานหนักในบั้นปลายของชีวิตใช่หรือไม่?
เพราะมันไปสอดรับกับคนบางกลุ่มที่พยายามออกแบบสถานการณ์ปูทางให้การเลือกตั้งครั้งนี้มากไปด้วยปัญหา ทั้งการประโคมข่าวทุจริตเลือกตั้ง และการเลือกตั้งที่ผิดกฎหมาย ทั้ง ๆ ที่ไม่มีสัญญาณใดจากรัฐบาลและรัฐสภาว่า การพิจารณาแก้ไขกฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั้ง 3 ฉบับ จะแท้งไม่ทันกำหนดไม่เกินสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคมตามที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศจะยุบสภา
หรือแม้ว่ากฎหมายลูกทั้งสามฉบับจะแก้ไขไม่ทัน กกต.อีก 4 คนเขาก็ยืนยันตรงกันว่าออกระเบียบได้ โดยหยิบเอาประเด็นตามที่ได้เสนอไปในกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาวาระแรกของสภาผู้แทนราษฎรไปแล้วมาใช้ได้ โดยไม่น่าจะมีปัญหาในข้อกฎหมายตามมา
แต่ “สดศรี” ก็ยังฟูมฟายตีอกชกหัวว่า ถ้าจะต้องออกระเบียบเธอจะไม่ยอมร่วมลงชื่อด้วย
ถ้าต้องการกวนน้ำให้ขุ่นอย่างนี้ ลาออกไปเลยดีกว่า อย่าอยู่เป็นตัวถ่วงความเจริญของ กกต.อีกต่อไปเลย เพราะชาติบ้านเมืองต้องการคนเสียสละมาปลดเปลื้องทุกข์ให้กับแผ่นดิน ไม่ใช่คนซับซ้อนที่คิดแต่จะฉกฉวยโอกาสจากสถานการณ์
สำหรับคณะกรรมการสรรหาทุกองค์กรอิสระที่ “สดศรี” บอกว่าจะไปสมัคร คงต้องขอเตือนล่วงหน้าว่าอย่าได้คิดผิดทำพลาดเลือกคนอย่าง “สดศรี” ไปสร้างความยุ่งยากให้กับองค์กรและสร้างภาระให้กับบ้านเมืองอย่างเด็ดขาด
ที่สำคัญสังคมต้องร่วมตรวจสอบด้วยว่า “ความผิดปกติ” ที่ สดศรีพยายามวาดภาพให้สังคมไทยเกิดความหวาดกลัวการเลือกตั้งนั้น เป็นความปริวิตกตามธรรมชาติของหญิงวัยทอง หรือแท้จริงแล้วเธอคือ “ตัวละคร” สำคัญที่คนแดนไกลกำหนดบทบาทให้เล่น
วางแผนให้เกิดปัญหากับการเลือกตั้ง จนนำไปสู่การไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งและการป่วนบ้านเมืองครั้งใหญ่ยั่วให้ทหารออกมาทำรัฐประหาร เพื่อให้คนเสื้อแดงตลบหลังทำการปฏิวัติประชาชนเปลี่ยนแปลงประเทศแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
สถานการณ์ขณะนี้ถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของบ้านเมือง ที่คนไทยต้องยืนยันถึงความเข้มแข็งที่เราต้องการรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่าการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
แต่มันคือการเปิดบานประตูเพื่อให้ชาติก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับการยืนหยัดของสังคมไทยที่จะประกาศให้ชาวโลกรับรู้ว่า ประเทศไทยสามารถก้าวข้ามวิกฤติการเมืองพัฒนาระบอบประชาธิปไตยอย่างยั่งยืนตามกติกา
ไม่ใช่วิธีการนอกระบบที่ไม่เพียงแต่จะเพิ่มบาดแผลให้สังคมไทยมากขึ้นแต่ยังสุ่มเสี่ยงที่จะเข้าทางกลุ่มคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประเทศอีกด้วย