นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่าไตรมาสแรกปีนี้บริษัทฯมีรายได้และกำไรสุทธิสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 4.49 แสนล้านบาท และกำไรสุทธิ 2.7 หมื่นล้านบาท รวมไปถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2553 ที่บริษัทฯมีรายได้รวม 4.93 แสนล้านบาท และกำไรสุทธิ 2.16 หมื่นล้านบาท
เนื่องจากมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นในทุกธุรกิจและมาร์จินก็สูงขึ้นด้วย โดยเฉพาะการรับรู้รายได้จากบริษัทย่อย คือ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ PTTEP ที่มีรายได้เพิ่มสูงขึ้นจากสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นก็ได้รับอานิสงส์จะเหตุการณ์ภัยพิบัติที่ญี่ปุ่นทำให้มาร์จินปิโตรเคมีและการกลั่นสูงขึ้นส่วนธุรกิจค้าปลีกน้ำมันพบว่าค่าการตลาดไม่สูงมากนัก เนื่องจากการตรึงราคาขายน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร ทำให้มาร์จินในกลุ่มธุรกิจนี้ไม่ค่อยเติบโต แต่อาจจะมีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน ซึ่งเป็นตัวเลขทางบัญชีไม่ใช่กำไรจากการดำเนินงาน
นายสรัญ รังคสิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่การตลาดขายปลีก หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.เตรียมดำเนินโครงการอินโดไชน่า พลัส พลัส (Indochina Plus Plus) ซึ่งเป็นโครงการขยายการลงทุนธุรกิจค้าปลีกน้ำมันและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีเป้าหมายที่จะศึกษาการขยายการลงทุนใน สปป.ลาว กัมพูชา ฟิลิปปินส์ สหภาพพม่า และจีนตอนใต้ ซึ่งในระยะแรกจะเน้นการขยายการลงทุนไป 3 ประเทศ คือลาว กัมพูชา และฟิลิปปินส์ คาดว่าปีแรกจะใช้เงินลงทุนประมาณ 100-200 ล้านบาท
ทั้งนี้ โครงการอินโดไชน่า พลัส พลัส มีเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจค้าปลีกน้ำมันในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อแก้ปัญหาน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิตเกินความต้องการใช้ภายในประเทศประมาณ 2 แสนบาร์เรล/วัน ซึ่งการขยายตลาดจึงน่าจะทำให้ธุรกิจของ ปตท.ขยายตัวมากขึ้น โดยประเทศแรกที่ ปตท.จะขยายการลงทุน คือ ลาว และกัมพูชา ซึ่งจะเริ่มลงทุนตั้งแต่ปีนี้
ปัจจุบันปตท.มีปั๊มน้ำมันตั้งอยู่ในลาว 29 แห่ง ซึ่งเป็นปั๊มน้ำมันขนาดมาตรฐานระดับเดียวกับที่สร้างในประเทศไทยประมาณ 10 แห่ง นับเป็นการส่งออกน้ำมันจากไทยไปจำหน่ายในลาว โดยปัจจุบัน ปตท.ส่งน้ำมันไปขายในลาวทั้งค้าปลีกและค้าส่ง ประมาณ 30% ของการใช้น้ำมันของลาว ส่วนอีก 70% เป็นการส่งออกของรายอื่น แต่ก็เป็นการส่งผ่านไทยทั้งหมดซึ่งมองว่าการเติบโตด้านการใช้น้ำมันใสและน้ำมันหล่อลื่นในลาวจะเพิ่มขึ้นมาก โดยยอดขายน้ำมันหล่อลื่นของ ปตท.ในลาว 4.5 ล้านลิตรต่อปี และในอนาคตอาจจะมีการเชื่อมโยงเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี และพลาสติกเข้าไปขายในประเทศลาวด้วย
ส่วนกัมพูชาได้มีปั๊มน้ำมันปตท. 6 แห่ง และทำธุรกิจค้าส่งผลิตภัณฑ์น้ำมันเป็นหลัก ในอนาคตจะเพิ่มจำนวนปั๊มน้ำมันในเมืองหลักๆ เหมือนกับลาวฟิลิปปินส์จะลงทุนหลังจากลาว และกัมพูชา โดยปัจจุบันมีปั๊มน้ำมันอยู่ 47 แห่ง มีคลังน้ำมันที่อ่าวซูบิค เพื่อขายส่งและขายปลีกผลิตภัณฑ์น้ำมัน มีการส่งออกน้ำมันเตาให้ฟิลิปปินส์ และขายน้ำมันอากาศยานซึ่งในอนาคตจะลดบทบาทการขยายส่งน้ำมันลง แต่จะเน้นการขายน้ำมันผ่านปั๊มมากขึ้น
สำหรับในพม่าก็เป็นตลาดที่น่าสนใจ และมีการนำเข้าผลิตภัณฑ์น้ำมันจำนวนมาก แต่จะต้องศึกษาก่อน เพราะการซื้อขายน้ำมันจะต้องผ่านบริษัทน้ำมันแห่งชาติของพม่า ส่วนจีนทางตอนใต้ก็กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายธุรกิจอยู่ โดยต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากก่อนหน้านี้ปตท.เคยทำธุรกิจค้าปลีกน้ำมันภายใต้แบรนด์ปิโตรเอเชียแต่ไม่ประสบความสำเร็จ
เนื่องจากมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นในทุกธุรกิจและมาร์จินก็สูงขึ้นด้วย โดยเฉพาะการรับรู้รายได้จากบริษัทย่อย คือ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ PTTEP ที่มีรายได้เพิ่มสูงขึ้นจากสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นก็ได้รับอานิสงส์จะเหตุการณ์ภัยพิบัติที่ญี่ปุ่นทำให้มาร์จินปิโตรเคมีและการกลั่นสูงขึ้นส่วนธุรกิจค้าปลีกน้ำมันพบว่าค่าการตลาดไม่สูงมากนัก เนื่องจากการตรึงราคาขายน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร ทำให้มาร์จินในกลุ่มธุรกิจนี้ไม่ค่อยเติบโต แต่อาจจะมีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน ซึ่งเป็นตัวเลขทางบัญชีไม่ใช่กำไรจากการดำเนินงาน
นายสรัญ รังคสิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่การตลาดขายปลีก หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.เตรียมดำเนินโครงการอินโดไชน่า พลัส พลัส (Indochina Plus Plus) ซึ่งเป็นโครงการขยายการลงทุนธุรกิจค้าปลีกน้ำมันและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีเป้าหมายที่จะศึกษาการขยายการลงทุนใน สปป.ลาว กัมพูชา ฟิลิปปินส์ สหภาพพม่า และจีนตอนใต้ ซึ่งในระยะแรกจะเน้นการขยายการลงทุนไป 3 ประเทศ คือลาว กัมพูชา และฟิลิปปินส์ คาดว่าปีแรกจะใช้เงินลงทุนประมาณ 100-200 ล้านบาท
ทั้งนี้ โครงการอินโดไชน่า พลัส พลัส มีเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจค้าปลีกน้ำมันในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อแก้ปัญหาน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิตเกินความต้องการใช้ภายในประเทศประมาณ 2 แสนบาร์เรล/วัน ซึ่งการขยายตลาดจึงน่าจะทำให้ธุรกิจของ ปตท.ขยายตัวมากขึ้น โดยประเทศแรกที่ ปตท.จะขยายการลงทุน คือ ลาว และกัมพูชา ซึ่งจะเริ่มลงทุนตั้งแต่ปีนี้
ปัจจุบันปตท.มีปั๊มน้ำมันตั้งอยู่ในลาว 29 แห่ง ซึ่งเป็นปั๊มน้ำมันขนาดมาตรฐานระดับเดียวกับที่สร้างในประเทศไทยประมาณ 10 แห่ง นับเป็นการส่งออกน้ำมันจากไทยไปจำหน่ายในลาว โดยปัจจุบัน ปตท.ส่งน้ำมันไปขายในลาวทั้งค้าปลีกและค้าส่ง ประมาณ 30% ของการใช้น้ำมันของลาว ส่วนอีก 70% เป็นการส่งออกของรายอื่น แต่ก็เป็นการส่งผ่านไทยทั้งหมดซึ่งมองว่าการเติบโตด้านการใช้น้ำมันใสและน้ำมันหล่อลื่นในลาวจะเพิ่มขึ้นมาก โดยยอดขายน้ำมันหล่อลื่นของ ปตท.ในลาว 4.5 ล้านลิตรต่อปี และในอนาคตอาจจะมีการเชื่อมโยงเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี และพลาสติกเข้าไปขายในประเทศลาวด้วย
ส่วนกัมพูชาได้มีปั๊มน้ำมันปตท. 6 แห่ง และทำธุรกิจค้าส่งผลิตภัณฑ์น้ำมันเป็นหลัก ในอนาคตจะเพิ่มจำนวนปั๊มน้ำมันในเมืองหลักๆ เหมือนกับลาวฟิลิปปินส์จะลงทุนหลังจากลาว และกัมพูชา โดยปัจจุบันมีปั๊มน้ำมันอยู่ 47 แห่ง มีคลังน้ำมันที่อ่าวซูบิค เพื่อขายส่งและขายปลีกผลิตภัณฑ์น้ำมัน มีการส่งออกน้ำมันเตาให้ฟิลิปปินส์ และขายน้ำมันอากาศยานซึ่งในอนาคตจะลดบทบาทการขยายส่งน้ำมันลง แต่จะเน้นการขายน้ำมันผ่านปั๊มมากขึ้น
สำหรับในพม่าก็เป็นตลาดที่น่าสนใจ และมีการนำเข้าผลิตภัณฑ์น้ำมันจำนวนมาก แต่จะต้องศึกษาก่อน เพราะการซื้อขายน้ำมันจะต้องผ่านบริษัทน้ำมันแห่งชาติของพม่า ส่วนจีนทางตอนใต้ก็กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายธุรกิจอยู่ โดยต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากก่อนหน้านี้ปตท.เคยทำธุรกิจค้าปลีกน้ำมันภายใต้แบรนด์ปิโตรเอเชียแต่ไม่ประสบความสำเร็จ
