ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - รู้กันดีในพรรคเพื่อไทยว่า สาเหตุสำคัญที่ทำ ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ลาออกจากการเป็น ส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคเพื่อไทยเมื่อ 23 มีนาคมที่ผ่านมา ได้รับการยืนยันเบื้องหน้าเบื้องหลังของเรื่องนี้จากแหล่งข่าวที่เป็น ส.ส.อีสาน พรรคเพื่อไทย ที่เข้าออกบ้านริมคลองของเฉลิมอย่างถี่ยิบ หลังการลงมติไว้วางใจ-ไม่ไว้วางใจ ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันเสาร์ที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา
เหตุทิ้งบอมบ์ใส่ ทักษิณ ชินวัตร ของเฉลิมครั้งนี้ มีมูลฐานสำคัญหลายประการ ข้อแรกคือ เฉลิมรู้สึกน้อยใจที่ไม่ได้รับความสำคัญทางการเมืองจากทักษิณ ชินวัตร ในการประกาศสนับสนุนเฉลิมให้ขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคเพื่อไทยตัวจริง เพื่อชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเสียที
เพราะการที่ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ประกาศกลางสภาก่อนปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า จะขอลงชิงเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำให้คนในพรรคเพื่อไทย และเฉลิมเชื่อว่ามิ่งขวัญกับทักษิณ อาจมีการตกปากรับคำอะไรกันไว้แล้ว
ว่าจะผลักดันมิ่งขวัญให้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี หากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง
จึงทำให้เฉลิมน้อยใจ เพราะเมื่อเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับมิ่งขวัญแล้ว เฉลิมอาจมองว่าที่ผ่านมาได้ทุ่มเททำงานให้พรรคมาเกือบ 4 ปีเต็ม ตั้งแต่การเลือกตั้งปี 50 มีเลือกตั้งซ่อมที่ไหนก็ไปขึ้นเวทีทุกครั้ง ลงพื้นที่ตลอด แต่กับตัวมิ่งขวัญแล้ว ไม่เคยลงพื้นที่ช่วยหาเสียงแม้แต่ครั้งเดียว ขึ้นเวทีปราศรัยเลือกตั้งซ่อมไม่ว่าที่ไหน จะสกลนคร-ศรีสะเกษ-นครราชสีมา-กรุงเทพมหานคร ก็ไม่เคยขึ้น ไม่เคยไปปรากฏตัวเพื่อช่วยหาเสียงให้พรรค
เหตุข้อต่อมา ก็เป็นปัญหาจากที่เสียงหนุนของ ส.ส.เพื่อไทยโดยเฉพาะสายภาคเหนือ และกลุ่มทุนในพรรคที่ต้องการให้ขวัญใจคนในเพื่อไทย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เบอร์หนึ่งของพรรคเพื่อไทย รวมถึงให้ขึ้นมาเป็นแคนดิเดตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพื่อชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก ของประเทศไทย
ยิ่งเมื่อทักษิณ ทวิตเตอร์ คุณสมบัติของผู้จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีว่า ต้องมีคุณสมบัติ 9 ประการ เช่น เก่งเรื่องเศรษฐกิจ
ประมวลข้อมูลความเคลื่อนไหวทั้งหมดแล้ว เฉลิมและส.ส.คนใกล้ชิด ตีความตรงกันว่า ไม่มีสัญญาณใดๆ เลยว่าทักษิณจะสนับสนุนเฉลิมให้ขึ้นมาเป็นแคนเดิเดตนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งใหม่
ข้อสุดท้ายคือ เฉลิมไม่พอใจท่าทีของ “บรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทย” ที่ติดคุกการเมืองในคดียุบพรรคไทยรักไทย-พลังประชาชน ที่ยังคงว่ายเวียนวนกุมอำนาจทุกอย่างในพรรคเพื่อไทยไม่จบสิ้น
โดยเฉพาะที่รับไม่ได้คือ ระหว่างที่กำลังอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 18 มีนาคม ในเรื่องปัญหาการนำเข้าบุหรี่ ฟิลิปมอริส โดยไม่เสียภาษีสรรพสามิตที่กินเวลาหลายชั่วโมง จู่ๆ ก็มีการยื่นโนติส กระซิบสั่งมายังเฉลิมที่กำลังอภิปรายว่า ขอให้รีบสรุปได้แล้ว เพราะใช้เวลานานเกินไป ประชาชนไม่เข้าใจ และจะได้ทำให้มิ่งขวัญ มีเวลาในการสรุปปิดอภิปรายได้มากขึ้น
โดยตามข่าวเล่ากันว่า ฝ่ายที่เข้ามาสั่งการคือ ทีมการเมืองในวอร์รูมอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคเพื่อไทย ที่เปิดห้องทำงานอยู่ที่อาคารที่ทำการพรรคเพื่อไทย ซึ่งมี จาตุรนต์ ฉายแสง นั่งบัญชาการอยู่
ทำเอาเฉลิมฉุนกึก และมาระบายอารมณ์กับสื่อมวลชนในช่วงสายวันรุ่งขึ้น หลังการลงมติจบสิ้นลงว่า เลือกตั้งรอบนี้ อาจจะไม่ขอลงเลือกตั้ง หากพรรคเพื่อไทยยังคงหนุนมิ่งขวัญ เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะไม่อยากอุ้มไก่แพ้ สู้อยู่กับบ้านดีกว่า แต่หากพรรคหนุนยิ่งลักษณ์ ไม่ใช่ มิ่งขวัญ ที่เฉลิมบอกว่าดีกรียิ่งลักษณ์เทียบกับมิ่งขวัญแล้ว อดีตนักการตลาดโตโยต้า เทียบไม่ติดฝุ่น
ถึงตอนนี้ ถือได้ว่าพรรคเพื่อไทย มีปัญหาในพรรคก่อนลงทำศึกเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่งแล้ว
จริงๆแล้ว “ทีมข่าวการเมืองASTVผู้จัดการ” ไม่อยากให้ราคากับ เฉลิม เพราะรู้ดีว่า นักการเมืองคนนี้ ไม่มีราคาให้ต้องพูดถึง
เอาแค่ง่ายๆ ก่อนหน้านี้ประกาศไม่ขอร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่สุดท้ายก็ต้องกลืนน้ำลาย เพราะกลัวตกขบวน ทำให้ทักษิณเคือง ซึ่งเฉลิมกลัวว่าหากเลือกตั้งมาแล้วเพื่อไทยได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลจะไม่มีตำแหน่งใดๆ ในรัฐบาลรองรับ
หรือที่บอกว่า มีแนวคิดจะไปตั้งพรรคการเมืองเล็กๆ ของตัวเอง หากออกจากเพื่อไทย พูดไว้เมื่อหลายเดือนก่อน ป่านนี้ก็ไม่เห็นจะทำอะไร เพราะรู้ดีว่าการทำพรรคการเมืองไม่ใช่เรื่องง่าย ตัวเองไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรให้สังคมกล่าวถึง
เล่นการเมืองมาหลายสิบปี ก็เป็นได้แค่เบี้ยให้คนอื่น เอาไว้หลอกใช้ ได้เป็น รมว.มหาดไทย-รมว.สาธารณสุข-เอาลูกชายกลับมารับราชการทหารได้อีกครั้ง ตอนรัฐบาลพลังประชาชน ก็เพราะคอยประจบเอาใจทักษิณ-สมัคร สุนทรเวช
พอมาเป็นฝ่ายค้าน ก็คิดว่าตัวเองจะเป็นกำลังหลักให้พรรค แต่สองปีที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่าบทบาทเฉลิมในพรรคเพื่อไทย ทักษิณ ยังให้ราคาน้อยกว่าพวก “แก๊งแดงข้างถนน” อย่าง จตุพร พรหมพันธุ์-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
เฉลิมจะอยู่หรือไป ในพรรคเพื่อไทยจะป่วนหรือสร้างราคา เพื่อหวังให้ทักษิณ มาคอยให้ราคา ชั่วโมงนี้ ดูแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า เพื่อไทย ขาดเฉลิมไปสักคน ก็ไม่ได้ทำให้พรรคจะมียอดส.ส.ลดลงอย่างที่ตั้งใจไว้เลยแน่นอน เพราะเหลิมไม่มีราคาในสายตาของทักษิณ มานานแล้ว ต่อให้กำลังจะใกล้เลือกตั้งก็ตามทีเถอะ
เหตุเพราะเห็นได้ชัดว่า กลุ่มที่มีบทบาทในพรรคเพื่อไทย แม้ตัวเองจะถูกฝังอยู่ในโลง ก็คือพวกอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยและพลังประชาชน ที่ยังคงเดินเข้าออกพรรคเพื่อไทย แทบจะทุกวันในช่วงนี้
ไม่ต้องดูอะไรมาก ก็ขนาดทำศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ แทนที่ทักษิณ จะให้พวกแกนนำพรรค-ส.ส.ของพรรค ร่วมกันกำหนดแนวทางยุทธศาสตร์การอภิปราย การเตรียมข้อมูล การลำดับตัวบุคคล และประเด็นการอภิปราย
กลายเป็นว่าทักษิณ กลับใช้บริการของพวก จาตุรนต์ ฉายแสง-พงษ์เทพ เทพกาญจนา-นพดล ปัทมะ-สุรพงษ์ สืบวงษ์ลี-วราเทพ รัตนากร-ภูมิธรรม เวชชยชัย-สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์-สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นต้น ในการจัดตั้งวอร์รูม เฝ้าติดตามและคอยสนับสนุนข้อมูลและประเด็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจตลอด 24 ชั่วโมง ของการอภิปราย 4 วัน 4 คืนที่ผ่านมา
จึงไม่น่าแปลกใจหรอก ที่ทำไมทุกครั้งของการระบายความในใจของเฉลิม เจ้าตัวจึงมักฟาดงวง ฟาดงาใส่พวก เงาในพรรคเพื่อไทย ที่เป็นนักโทษการเมือง ที่มักคอยเข้ามาก้าวก่ายงานในพรรคเพื่อไทยตลอดเวลา
โดยเฉพาะกับสุดารัตน์ ที่คอยตีกันเฉลิมมาตลอด ทั้งเรื่องการขวางไม่ให้เฉลิมเข้ามามีบทบาทในพรรคเพื่อไทย รวมถึงกันท่าไม่ให้เฉลิมเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการทำการเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งที่เฉลิมประกาศมาตลอดว่า ต้องการมีบทบาทในพรรคเพื่อไทย ในพื้นที่ฝั่งธนบุรี แต่ก็ถูกสุดารัตน์ขวาง จนทำให้ลูกชายของเฉลิม ไม่มีชื่อติดโผลงสมัคร ส.ส.ฝั่งธนบุรี ของพรรคเพื่อไทยแม้แต่คนเดียว ทั้งที่ตัวเองเป็นถึงประธาน ส.ส.พรรค
ด้วยเหตุนี้ที่ผ่านมา เฉลิมจึงไม่พอใจพวกกลุ่มนักโทษการเมืองเหล่านี้มาตลอด และพยายามหาโอกาสทิ่มแทงเอาคืนทุกครั้งหากมีโอกาส
แต่กี่ครั้งก็ทำไม่ได้ เพราะทักษิณไว้วางใจพวกนี้มากกว่าตัวเอง ยิ่งเมื่อเหลือเวลาอีกแค่ประมาณ 14 เดือน คุกที่ขังพวกนี้เอาไว้ในคดียุบพรรคก็เตรียมเปิดแล้ว มันจึงยิ่งกว่านรกแตก หากพวกนี้ออกมาเมื่อใด เฉลิมก็กระเด็นออกไปจากพรรคเพื่อไทยทันที เพราะไม่มีความจำเป็นใดๆ แล้วที่ทักษิณต้องพึ่งเฉลิม
ทำให้ช่วงที่ผ่านมา เฉลิมจึงดิ้นทุกทางเพื่อทำให้ตัวเองขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคโดยเร็วที่สุด และก้าวขึ้นสู่การเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพราะรู้ดีว่า หากช้าจะไม่ทันการ
แต่การเร่งรีบของเฉลิมกลับไม่เป็นผล และยังถูกทักษิณ แตะเบรกไปเรื่อยๆ พูดทุกครั้งว่า ไม่ต้องห่วง หัวหน้าพรรคมีแล้ว แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีมีแล้ว ถึงเวลาแล้วจะบอก แต่ก็ไม่เคยแสดงความชัดเจนใดๆ
จนมีการวิเคราะห์กันไปเรื่อย จะเป็นใคร จะใช่มิ่งขวัญหรือไม่ หรือจะเป็นยิ่งลักษณ์ หรือจะ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีตพี่เขย ที่อาจลาออกมาลงเลือกตั้ง
บ้างก็ว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ บางคนก็บอกน่าจะสายธุรกิจเช่น วีรพงษ์ รามางกูร-โอฬาร ไชยประวัติ วิเคราะห์กันไปหลายสูตร แต่ไม่เคยมีความชัดเจนจากทักษิณ หัวหน้าพรรคตัวจริง
ทำให้ความอึมครึมในพรรคเพื่อไทยมีมาตลอด ที่ชัดเจนมีแค่อย่างเดียวคือ ทักษิณวางไว้แล้วว่า หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค จะเป็นคนละคนกัน เพื่อป้องกันปัญหาเรื่องคดียุบพรรคเท่านั้น
จนสุดท้าย เฉลิม ก็ต้องสำแดงพลังให้เห็นบ้างเล็กน้อย เพื่อสร้างราคาให้ตัวเอง กับการลาออกจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ก็ไม่รู้ว่าคนในพรรคจะสนใจใยดีหรือไม่ ทักษิณ จะแคร์หรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่ก็อ่านออกว่า เฉลิมทำไปเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่สร้างราคาก่อนที่ตัวเองจะหมดราคา
ความอึมครึมในพรรคเพื่อไทยมีมาตลอด ที่ชัดเจนมีแค่อย่างเดียวคือ ทักษิณวางไว้แล้วว่า หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค จะเป็นคนละคนกัน เพื่อป้องกันปัญหาเรื่องคดียุบพรรคเท่านั้น