**การยื่นใบลาออกจากการเป็น ส.ส.และ เป็นผลให้หมดสถานะประธานส.ส.พรรคเพื่อไทยของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อาจเรียกได้ว่า เป็นการเรียกราคาก่อนหมดราคาไปที่คนแดนไกล หลังพลาดหวังมิอาจตะเกียกตะกายให้ได้รับความไว้วางใจเป็นคู่ชิงนายกรัฐมนตรีได้
แม้ความหวังพังทลาย แต่ลวดลายและลีลายังไม่ทิ้งฉายา “ขุนพลมือหนัก” เพราะชื่อนี้ไม่ได้มาจากโชคช่วย แต่เกิดจากฝีมือล้วนๆ ที่คนในแวดวงการเมืองเขารับรู้กันดีว่า
**ขุนศึกฝั่งธนนั้นไม่อาจนิยามความเป็น ร.ต.อ.เฉลิม ได้ดีเท่ากับคำว่า “ขุนพลมือหนัก”
การวางบทบาทแสดงออกถึงความน้อยใจ ด้วยการลาออกจากการเป็นส.ส.แต่ยังไม่ขาดจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยนั้น เป็นเกมที่จะให้ส.ส.ออกโรงเรียกร้องให้ ทักษิณ ชินวัตร อ้อนวอนให้ ร.ต.อ.เฉลิม มานำทัพหาเสียง ตามด้วยค่าน้ำร้อนน้ำชาจากฝีปาก ในฐานะนักการเมืองรุ่นเก๋า
ส่วนจะได้ส่วนแบ่งเท่าไหร่จากตัวเลขสามพันล้านบาทที่ ร.ต.อ.เฉลิม ออกมาปูดเอาไว้ ขี้เกียจจะไปหาคำตอบ
เกมนี้ของ ร.ต.อ.เฉลิม นอกจากจะเรียกราคา สร้างความสำคัญให้กับตัวเองแล้ว ยังเป็นการกดดันไปถึงการปรับโครงสร้างของพรรคเพื่อไทยด้วย ว่าจะต้องเป็นไปตามที่ ร.ต.อ.เฉลิมผลักดัน คือ การเขี่ยมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ พ้นจากถนนสายผู้นำประเทศ และชูยิ่ง ลักษณ์ ชินวัตร มาต่อกรกับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แทน
ซึ่งในขณะนี้พรรคเพื่อไทยยังอยู่ในภาวะลูกผีลูกคนจะปรับเปลี่ยนโครงสร้างด้วยการเปลี่ยนหัวหน้าพรรคเหมือนที่เคยพยยายามทำในช่วงที่ดึง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ มาแทน ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ แต่ก็ไม่สำเร็จ
วันนี้ แนวทางที่พรรคเพื่อไทยกำลังชั่งใจอยู่ คือ กำหนดหัวหน้าพรรคที่จะเป็นคู่ชิงนายกรัฐมนตรีให้ชัดเจน แบบตรงไปตรงมา หรือหัวหน้าพรรคเป็นแค่คนทำงานด้านธุรการให้พรรค แต่คนที่ถูกกำหนดให้เป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 คือตัวจริงที่จะชูคอแข่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะลงตัวที่ชื่อใด
แต่ที่แน่ ๆ คือ ไม่ใช่ชื่อ ร.ต.อ.เฉลิม อย่างแน่นอน และร.ต.อ.เฉลิม ก็รู้ตัวว่า ฝันนั้นไกลเกินเอื้อม ดังนั้นในช่วงชีวิตการเมืองที่ผ่านการล้มลุกคลุกคลานมาหลายครั้ง ย่อมให้บทเรียนกับ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นอย่างดีว่า การตั้งพรรคการเมืองใหม่นั้นเสี่ยงต่อความล้มเหลวได้ง่ายดายเพียงใด
** ทางเลือกของ ร.ต.อ.เฉลิม จึงแคบลง
หากต้องการเกาะเกี่ยวมีสถานะทางการเมืองต่อไปในฐานะดาวฤกษ์ที่มีแสงในตัวเอง ก็ยังต้องพึ่งพาพรรคเพื่อไทยต่อไป และเชื่อว่าทักษิณ ก็ยังจำเป็นต้องใช้บริการความเก๋าทางการเมืองของ ร.ต.อ.เฉลิม ที่พอจะมีชื่อชั้นในสายตาของสื่อมวลชนต่อไป
**แต่ที่น่าจับตาคือ ร.ต.อ.เฉลิม จะเข้าไปเอี่ยวกับ “พรรคประชาสันติ” ที่กำลังอาศัยชื่อของ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ หลอกประชาชนว่าเป็นทางเลือกใหม่ด้วยหรือไม่ เพราะหากพิจารณาจากสายสัมพันธ์ที่ ร.ต.อ.เฉลิม มีกับคนที่เป็นแกนนำในการก่อตั้งพรรคประชาสันติ ก็ต้องนับว่าน่าสนใจไม่น้อย
โดยเฉพาะกับบุคคลที่ชื่อ เสรี สุวรรณภานนท์ ซึ่งในยุคที่ เสรี ลงสมัครเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น ว่ากันว่า ได้รับการเทคะแนนเสียงจาก ร.ต.อ.เฉลิม จนได้รับการเลือกตั้งในที่สุด
ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม พูดถึงความสัมพันธ์ที่นำไปสู่การช่วยเหลือทางการเมืองครั้งนั้นกับคนใกล้ชิดว่า “ไอ้เสรีมันเป็นลูกน้องผม”
วันนี้สถานะความเป็นลูกพี่ ลูกน้องจะคงอยู่หรือไม่ และจะมีผลผูกพันถึงการตัดสินใจทางการเมืองของ ร.ต.อ.เฉลิม ที่กำลังจะถูกทำให้หมดความสำคัญในพรรคเพื่อไทย ให้ได้มีที่ทางขยับขยายในทางการเมืองหรือเปล่าเป็นเรื่องที่น่าคิด
เพราะความน้อยอกน้อยใจของร.ต.อ.เฉลิม หลายครั้งจนนำมาสู่การลาออกจาก ส.ส. ล้วนมาจากความไม่พอใจบทบาทของบรรดาผีบ้านเลขที่ 111 ที่พยายามเข้ามากำหนดทิศทางพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น
ล่าสุดคือ กรณีที่ จาตุรนต์ ฉายแสง บังอาจสั่งให้ ร.ต.อ.เฉลิม หุบปากหยุดพูด เพื่อไม่ให้กินเวลาของ มิ่งขวัญ ในการสรุปญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจวันสุดท้าย
**แค่นี้ ร.ต.อ.เฉลิม ยังทนไม่ได้ แล้วในอีกปีกว่าข้างหน้า ฝาโลงจะเปิดผีบ้านเลขที่ 111 จะฟื้นคืนชีพอีกครั้ง จะเหลือที่ยืนตรงไหนให้กับร.ต.อ.เฉลิม ในพรรคเพื่อไทย
วันนี้ของ ร.ต.อ.เฉลิมบนนถนนสายการเมืองที่เกาะเกี่ยวทักษิณ กำลังจะถูกเบียดให้ตกขอบ แต่ถ้าได้ขยับขยายไปอยู่กับพรรคประชาสันติ เดินเกมการเมืองสร้างพื้นที่ข่าวให้พรรคการเมืองนี้ไม่ตกไปจากหน้าหนังสือพิมพ์ ก็ย่อมเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับคนที่กำลังไร้ทางเลือกอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม มิใช่หรือ
แต่อย่าลืมว่าการตัดสินใจเช่นนี้ อาจเป็นผลดีต่อตัว ร.ต.อ.เฉลิม คือ มีที่ยืนใหม่แต่ก็ต้องบอกว่ายังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก เพราะไม่มีใครรับประกันได้ว่า พรรคประชาสันติ ที่อาศัยภาพดีไม่จริงของ ร.ต.อ.ปุระชัย มาเป็นจุดขาย จะไปไกลสักแค่ไหน
**เพราะอาจเป็นได้แค่พลุจุดขึ้นฟ้าสว่างแป๊บเดียว ก็หายไปพร้อมกับความมืดก็ได้ ใครจะรู้
แต่ถ้าพรรคประชาสันติ เป็นคบเพลิงที่มีเชื้อไฟคอยเติมตลอดเวลา ก็ไม่ได้หมายความว่าการได้ ร.ต.อ.เฉลิม ไปร่วมสังฆกรรมทางการเมืองจะเป็นบวกในแง่ของมวลชน เพราะนั่นเท่ากับยิ่งตอกย้ำว่าพรรคการเมืองนี้ มิใช่ทางเลือกใหม่ แต่เป็นแค่ศูนย์รวมคนอยากมีอำนาจวาสนาเท่านั้น
และที่สำคัญคือภาพการเชื่อมต่อระหว่างพรรคประชาสันติกับพรรคเพื่อไทย และทักษิณ ชินวัตร จะยิ่งชัดเจนมากขึ้นในสายตาของสังคม
ที่ไม่ควรประมาท คือ สายสัมพันธ์ของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ กับ เนวิน ชิดชอบ และ ธีรพล นพรัมภา มือเตารีดของ ยี้ห้อย น่าจะทำให้พรรคการเมืองนี้เป็นตัวแปรทางการเมืองที่จะสร้างอำนาจต่อรองหลังการเลือกตั้ง ซึ่งมีบางคนวางแผนที่จะหมุนกงล้อประวัติศาสตร์ไปสู่เหตุการณ์ที่พรรคใหญ่ไม่ได้เป็นนายกฯ
แต่คนกำหนดผู้นำประเทศคือพรรคเล็ก และพรรคขนาดกลาง ซึ่งจะประสานประโยชน์กับทั้งฝ่ายการเมืองและกองทัพได้ดีกว่าพรรคเพื่อไทย ที่สร้างกรงขังตัวเองไว้กับการกล่าวโทษ ทหารฆ่าประชาชน จนมิอาจยอมรับผู้นำกองทัพในปัจจุบันได้
** ดังนั้น หากพรรคเพื่อไทยมีโอกาสได้จัดตั้งรัฐบาล ก็จะถูกบีบโดยคนเสื้อแดง ให้จัดการเด็ดขาดกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยการปลดออกจากผบ.ทบ.
เชื่อได้เลยว่า สภาวะความไม่มั่นคงทางอำนาจดังกล่าวอาจเป็นสาเหตุของการทำรัฐประหาร เหมือนที่เคยเกิดขึ้นหลายครั้งในอดีตจากเงื่อนไขนี้
**การเมืองหลังจากนี้ไม่ว่าใครจะคิดอ่านวางแผนอย่างไร ก็ต้องบอกว่า คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต และอนาคตของประเทศควรถูกกำหนดโดยประชาชน มิใช่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
แม้ความหวังพังทลาย แต่ลวดลายและลีลายังไม่ทิ้งฉายา “ขุนพลมือหนัก” เพราะชื่อนี้ไม่ได้มาจากโชคช่วย แต่เกิดจากฝีมือล้วนๆ ที่คนในแวดวงการเมืองเขารับรู้กันดีว่า
**ขุนศึกฝั่งธนนั้นไม่อาจนิยามความเป็น ร.ต.อ.เฉลิม ได้ดีเท่ากับคำว่า “ขุนพลมือหนัก”
การวางบทบาทแสดงออกถึงความน้อยใจ ด้วยการลาออกจากการเป็นส.ส.แต่ยังไม่ขาดจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยนั้น เป็นเกมที่จะให้ส.ส.ออกโรงเรียกร้องให้ ทักษิณ ชินวัตร อ้อนวอนให้ ร.ต.อ.เฉลิม มานำทัพหาเสียง ตามด้วยค่าน้ำร้อนน้ำชาจากฝีปาก ในฐานะนักการเมืองรุ่นเก๋า
ส่วนจะได้ส่วนแบ่งเท่าไหร่จากตัวเลขสามพันล้านบาทที่ ร.ต.อ.เฉลิม ออกมาปูดเอาไว้ ขี้เกียจจะไปหาคำตอบ
เกมนี้ของ ร.ต.อ.เฉลิม นอกจากจะเรียกราคา สร้างความสำคัญให้กับตัวเองแล้ว ยังเป็นการกดดันไปถึงการปรับโครงสร้างของพรรคเพื่อไทยด้วย ว่าจะต้องเป็นไปตามที่ ร.ต.อ.เฉลิมผลักดัน คือ การเขี่ยมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ พ้นจากถนนสายผู้นำประเทศ และชูยิ่ง ลักษณ์ ชินวัตร มาต่อกรกับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แทน
ซึ่งในขณะนี้พรรคเพื่อไทยยังอยู่ในภาวะลูกผีลูกคนจะปรับเปลี่ยนโครงสร้างด้วยการเปลี่ยนหัวหน้าพรรคเหมือนที่เคยพยยายามทำในช่วงที่ดึง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ มาแทน ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ แต่ก็ไม่สำเร็จ
วันนี้ แนวทางที่พรรคเพื่อไทยกำลังชั่งใจอยู่ คือ กำหนดหัวหน้าพรรคที่จะเป็นคู่ชิงนายกรัฐมนตรีให้ชัดเจน แบบตรงไปตรงมา หรือหัวหน้าพรรคเป็นแค่คนทำงานด้านธุรการให้พรรค แต่คนที่ถูกกำหนดให้เป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 คือตัวจริงที่จะชูคอแข่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะลงตัวที่ชื่อใด
แต่ที่แน่ ๆ คือ ไม่ใช่ชื่อ ร.ต.อ.เฉลิม อย่างแน่นอน และร.ต.อ.เฉลิม ก็รู้ตัวว่า ฝันนั้นไกลเกินเอื้อม ดังนั้นในช่วงชีวิตการเมืองที่ผ่านการล้มลุกคลุกคลานมาหลายครั้ง ย่อมให้บทเรียนกับ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นอย่างดีว่า การตั้งพรรคการเมืองใหม่นั้นเสี่ยงต่อความล้มเหลวได้ง่ายดายเพียงใด
** ทางเลือกของ ร.ต.อ.เฉลิม จึงแคบลง
หากต้องการเกาะเกี่ยวมีสถานะทางการเมืองต่อไปในฐานะดาวฤกษ์ที่มีแสงในตัวเอง ก็ยังต้องพึ่งพาพรรคเพื่อไทยต่อไป และเชื่อว่าทักษิณ ก็ยังจำเป็นต้องใช้บริการความเก๋าทางการเมืองของ ร.ต.อ.เฉลิม ที่พอจะมีชื่อชั้นในสายตาของสื่อมวลชนต่อไป
**แต่ที่น่าจับตาคือ ร.ต.อ.เฉลิม จะเข้าไปเอี่ยวกับ “พรรคประชาสันติ” ที่กำลังอาศัยชื่อของ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ หลอกประชาชนว่าเป็นทางเลือกใหม่ด้วยหรือไม่ เพราะหากพิจารณาจากสายสัมพันธ์ที่ ร.ต.อ.เฉลิม มีกับคนที่เป็นแกนนำในการก่อตั้งพรรคประชาสันติ ก็ต้องนับว่าน่าสนใจไม่น้อย
โดยเฉพาะกับบุคคลที่ชื่อ เสรี สุวรรณภานนท์ ซึ่งในยุคที่ เสรี ลงสมัครเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น ว่ากันว่า ได้รับการเทคะแนนเสียงจาก ร.ต.อ.เฉลิม จนได้รับการเลือกตั้งในที่สุด
ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม พูดถึงความสัมพันธ์ที่นำไปสู่การช่วยเหลือทางการเมืองครั้งนั้นกับคนใกล้ชิดว่า “ไอ้เสรีมันเป็นลูกน้องผม”
วันนี้สถานะความเป็นลูกพี่ ลูกน้องจะคงอยู่หรือไม่ และจะมีผลผูกพันถึงการตัดสินใจทางการเมืองของ ร.ต.อ.เฉลิม ที่กำลังจะถูกทำให้หมดความสำคัญในพรรคเพื่อไทย ให้ได้มีที่ทางขยับขยายในทางการเมืองหรือเปล่าเป็นเรื่องที่น่าคิด
เพราะความน้อยอกน้อยใจของร.ต.อ.เฉลิม หลายครั้งจนนำมาสู่การลาออกจาก ส.ส. ล้วนมาจากความไม่พอใจบทบาทของบรรดาผีบ้านเลขที่ 111 ที่พยายามเข้ามากำหนดทิศทางพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น
ล่าสุดคือ กรณีที่ จาตุรนต์ ฉายแสง บังอาจสั่งให้ ร.ต.อ.เฉลิม หุบปากหยุดพูด เพื่อไม่ให้กินเวลาของ มิ่งขวัญ ในการสรุปญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจวันสุดท้าย
**แค่นี้ ร.ต.อ.เฉลิม ยังทนไม่ได้ แล้วในอีกปีกว่าข้างหน้า ฝาโลงจะเปิดผีบ้านเลขที่ 111 จะฟื้นคืนชีพอีกครั้ง จะเหลือที่ยืนตรงไหนให้กับร.ต.อ.เฉลิม ในพรรคเพื่อไทย
วันนี้ของ ร.ต.อ.เฉลิมบนนถนนสายการเมืองที่เกาะเกี่ยวทักษิณ กำลังจะถูกเบียดให้ตกขอบ แต่ถ้าได้ขยับขยายไปอยู่กับพรรคประชาสันติ เดินเกมการเมืองสร้างพื้นที่ข่าวให้พรรคการเมืองนี้ไม่ตกไปจากหน้าหนังสือพิมพ์ ก็ย่อมเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับคนที่กำลังไร้ทางเลือกอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม มิใช่หรือ
แต่อย่าลืมว่าการตัดสินใจเช่นนี้ อาจเป็นผลดีต่อตัว ร.ต.อ.เฉลิม คือ มีที่ยืนใหม่แต่ก็ต้องบอกว่ายังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก เพราะไม่มีใครรับประกันได้ว่า พรรคประชาสันติ ที่อาศัยภาพดีไม่จริงของ ร.ต.อ.ปุระชัย มาเป็นจุดขาย จะไปไกลสักแค่ไหน
**เพราะอาจเป็นได้แค่พลุจุดขึ้นฟ้าสว่างแป๊บเดียว ก็หายไปพร้อมกับความมืดก็ได้ ใครจะรู้
แต่ถ้าพรรคประชาสันติ เป็นคบเพลิงที่มีเชื้อไฟคอยเติมตลอดเวลา ก็ไม่ได้หมายความว่าการได้ ร.ต.อ.เฉลิม ไปร่วมสังฆกรรมทางการเมืองจะเป็นบวกในแง่ของมวลชน เพราะนั่นเท่ากับยิ่งตอกย้ำว่าพรรคการเมืองนี้ มิใช่ทางเลือกใหม่ แต่เป็นแค่ศูนย์รวมคนอยากมีอำนาจวาสนาเท่านั้น
และที่สำคัญคือภาพการเชื่อมต่อระหว่างพรรคประชาสันติกับพรรคเพื่อไทย และทักษิณ ชินวัตร จะยิ่งชัดเจนมากขึ้นในสายตาของสังคม
ที่ไม่ควรประมาท คือ สายสัมพันธ์ของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ กับ เนวิน ชิดชอบ และ ธีรพล นพรัมภา มือเตารีดของ ยี้ห้อย น่าจะทำให้พรรคการเมืองนี้เป็นตัวแปรทางการเมืองที่จะสร้างอำนาจต่อรองหลังการเลือกตั้ง ซึ่งมีบางคนวางแผนที่จะหมุนกงล้อประวัติศาสตร์ไปสู่เหตุการณ์ที่พรรคใหญ่ไม่ได้เป็นนายกฯ
แต่คนกำหนดผู้นำประเทศคือพรรคเล็ก และพรรคขนาดกลาง ซึ่งจะประสานประโยชน์กับทั้งฝ่ายการเมืองและกองทัพได้ดีกว่าพรรคเพื่อไทย ที่สร้างกรงขังตัวเองไว้กับการกล่าวโทษ ทหารฆ่าประชาชน จนมิอาจยอมรับผู้นำกองทัพในปัจจุบันได้
** ดังนั้น หากพรรคเพื่อไทยมีโอกาสได้จัดตั้งรัฐบาล ก็จะถูกบีบโดยคนเสื้อแดง ให้จัดการเด็ดขาดกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยการปลดออกจากผบ.ทบ.
เชื่อได้เลยว่า สภาวะความไม่มั่นคงทางอำนาจดังกล่าวอาจเป็นสาเหตุของการทำรัฐประหาร เหมือนที่เคยเกิดขึ้นหลายครั้งในอดีตจากเงื่อนไขนี้
**การเมืองหลังจากนี้ไม่ว่าใครจะคิดอ่านวางแผนอย่างไร ก็ต้องบอกว่า คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต และอนาคตของประเทศควรถูกกำหนดโดยประชาชน มิใช่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง