วันศุกร์ที่จะถึงนี้(25มี.ค.)จะเป็นวันที่สภาผู้แทนราษฎรจะใช้เสียงข้างมากลงมติให้ความเห็นชอบบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม-ไทยกัมพูชา หรือ JBC รวม 3 ฉบับ
ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการยกแผ่นดินให้กับเขมรอย่างเป็นทางการ
และคงไม่มีใครยับยั้งมติฉบับนี้ได้ แม้ว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ภายใต้การนำเดินการของคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทยที่มีพล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นแกนนำหลักของการชุมนุมจะให้ข้อมูลกับประชาชนถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นนั่นก็คือ การรองรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ของกัมพูชา และจะทำให้เราเสียดินแดนให้เขมรไม่เพียงแต่พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น จะรวมพื้นที่อื่นตลอดแนวชายแดนไทยไม่จนถึงจังหวัดตราดและรวมไปถึงพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่จะต้องเปลี่ยนไปด้วย
แต่น่าเสียดายที่เสียงจากการให้ข้อมูลบนเวทีพันธมิตรฯไม่ได้รับความสนใจจากสื่อกระแสหลัก เพราะสื่อส่วนใหญ่ให้ค่าการชุมนุมของพันธมิตรฯในมุมลบว่าสร้างความวุ่นวายให้กับบ้านเมือง ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนเพราะชุมนุมบนถนนกีดขวางการจราจร ในขณะที่บางคนเหลานั้นเคยสนับสนุนการชุมนุมในรูปแบบเดียวกันตอนที่ไล่ทักษิณ
หลายคนไม่ชอบพันธมิตรฯเพราะไม่ชอบแกนนำบางคน ไม่ชอบพันธมิตรฯเพราะไม่ชอบที่พันธมิตรฯออกมาไล่ทักษิณที่เขารัก ไม่ชอบพันธมิตรฯเพราะออกมาขับไล่อภิสิทธิ์ที่เขารัก
ไม่มีใครสนใจเรื่องดินแดนและอธิปไตยของชาติ ด้วยคำพูดแบบมักง่ายว่าโลกนี้เป็นโลกไร้พรมแดน และไม่สนับสนุนสงคราม แต่วันนี้คนที่เคยพูดคำพูดนั้นบางคนสนับสนุนกองกำลังพันธมิตรตะวันตกที่รุกรานลิเบีย และแสดงออกเพื่อให้เห็นว่าตัวเองนั้นเป็นผู้สนับสนุนสงครามเพื่อสันติภาพและการปลดปล่อยประชาชนจากเผด็จการ
แต่ไม่สนใจแผ่นดินตัวเองและไม่สนใจว่าเผด็จการฮุนเซนนั้นกระทำต่อพลเมืองของเขมรไม่ต่างกัน คงเป็นเพราะพูดเรื่องไทยเขมรมันไม่เท่ไม่อินเตอร์เหมือนพูดเรื่องลิเบียตามก้นตะวันตก
นักวิชาการบางคนซึ่งเป็นเพื่อนของผมเองไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมครั้งนี้เพราะวิพากษ์วิจารณ์นักวิชาการ 7.1 ล้าน เพราะนักวิชาการบางคนเป็นที่เคารพนับถือเป็นการส่วนตัว โดยไม่ได้มองถึงเนื้อหาและบริบทในการทำงานชิ้นนี้ของนักวิชาการชุดดังกล่าว โดยเฉพาะประเด็นเขมรที่มีจุดยืนเคียงข้างกับระบอบอำมาตยาธิปไตยฮุนเซน รับเงินจากรัฐไทยแต่หาข้อมูลเพื่อสนับสนุนความชอบธรรมให้กับเขมร และสนับสนุนจักรวรรดินิยมล่าเมืองขึ้นฝรั่งเศส
และไทยน่าจะเป็นชาติเดียวในโลกที่เมื่อเกิดสงครามการแย่งชิงอธิปไตยเนื้อดินแดนด้วยการถูกเขมรยิงถล่มเข้ามากใส่บ้านเรือนของราษฎร นักวิชาการกลุ่มนี้โดยการสนับสนุนของกระทรวงการต่างประเทศ ได้เชิญทูตเขมรมาเป็นองค์ปาฐกด่าชาติตัวเองกลางเมืองหลวง และให้ข้อมูลในทางประวัติศาสตร์แบบบิดเบือน โดยที่นักวิชาการประวัติศาสตร์ไทยชุด 7.1 ล้าน นั่งฟังโดยไม่โต้แย้ง และกระทรวงการต่างประเทศไทยก็ไม่มีการตอบโต้ใดๆออกมา
และทันทีที่ลูกชายของฮุนเซนคือ ฮุน มาเนตนำทหารเข้ายิงถล่มใส่ราษฎรไทย นิตยสารของไทยได้นำเสนอเรื่องของฮุนมาเนตและครอบครัวฮุนเซนด้วยความชื่นชม
ปรากฎการณ์ทั้งหมดนี้ยังไม่มีเสียงสะท้อนออกมาจากรัฐสภาไทยที่พวกเขาว่าตัวแทนของปวงชนชาวไทยในระยบอบประชาธิปไตย ซ้ำร้าย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างนางฐิติมา ฉายแสง ได้ออกมากล่าวหาคนไทยและรัฐไทยว่าไปเรียกร้องเอาแผ่นดินของเขมร ก่อนหน้านี้น.ส.รัชดา ธนาดิเรก ส.ส.ปชป.พูดผ่านทีวีด้วยความชื่นใจว่า กรณีของเขมรนั้นเป็นเรื่องเดียวที่รัฐสภามีมติเห็นชอบร่วมกันระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล
แม้ทั้งหมดจะเป็นเรื่องเศร้า แต่ผมจะชี้ให้เห็นว่าอย่างน้อยเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดทำให้ผมเห็นด้านดีของมันบ้าง
สองสามปีมานี้หรือว่าไปแล้วย้อนไปตั้งแต่ทักษิณเข้ามาลงทุนทางการเมืองซื้อส.ส. ซื้อพรรคเพื่อให้ได้อำนาจ และใช้นโยบายในการเอื้อประโยชน์ให้กับวงศ์วานว่านเครือ จนพวกเราลุกขึ้นมาขับไล่ แม้จะไม่สำเร็จด้วยน้ำมือของเราโดยตรง เพราะอำนาจทหารเข้ามาตัดตอนเสียก่อน แต่วันนั้นพวกเราก็ได้ปลุกให้ประชาชนตื่นรู้และเรียนรู้ที่จะปกป้องสิทธิของตัวเองในระบอบประชาธิปไตยที่ไม่ได้มีคุณค่าแค่การเข้าคูหาไปกาบัตรไม่กี่วินาทีและยกอำนาจให้กลุ่มนักการเมืองไป
ทุกวันนี้เราเห็นแล้วว่า ประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งนั้นคือ การเข้ามาลงทุนทางการเมือง ด้วยการซื้อคะแนนซื้อตัวส.ส.ด้วยเงินหลายสิบล้านบาท ด้วยเป้าหมายคือให้ได้อำนาจทางการเมืองมา การลงทุนมหาศาลขนาดนี้มันเป็นคำตอบอยู่แล้วว่า พวกเขาอาสามาเพื่อทำงานรับใช้บ้านเมืองหรือแสวงหาผลประโยชน์ด้วยวิธีทางที่เราเรียกว่าระบอบประชาธิปไตย
เราได้เห็นนักการเมืองที่ไม่ว่าจะเป็นบรรหาร เป็นเสนาะ เป็นเนวิน เป็นสุวัจน์ เป็นพินิจ เป็นสนั่น เป็นสุเทพ หรือเป็นใครต่อใคร รวมมาถึงเป็นอภิสิทธิ์นั้น ไม่ได้มีเนื้อหาสาระที่แตกต่างกันเลย
บางคนที่เอ่ยชื่อมานั้นเรารู้รับรู้มองเห็นพฤติกรรมและเส้นทางอันผ่านคืนวันที่เห็นภาพด้านมืดและเลวร้ายของเขา แต่บางคนเราเคยเชื่อว่าเขาเป็นนักการเมืองน้ำดี เพราะภาพลักษณ์ภาพนอกที่ห่อหุ้มตัวตนภายในเอาไว้
ผมคิดว่าข้อดีของอภิสิทธิ์ก็คือเขาเป็นฟางเส้นสุดท้ายบนหลังลาก่อนที่มันจะทรุดตัวลงด้วยน้ำหนักที่เกินจะแบกรับ ความรู้สึกของคนไทยก็คงเช่นเดียวกัน มันน่าจะทำให้คนไทยได้รับบทเรียนว่า อย่างยึดติดตัวบุคคลที่ภาพลักษณ์ภายนอก
เมื่อมีสติแล้วเราคงย้อนกลับไปมองและบรรลุสัจธรรมได้ว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่ใครคนใดคนหนึ่งทั้งความหวังและความฝันว่าจะต้องมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ ด้วยการส่งเข้าไปเรียนโรงเรียนดี สถานการณ์ศึกษาดีแล้วก็มาสู่การเมืองโดยการสร้างฝันและผลักดันของครอบครัวในระบบเส้นสายและค่อยๆใช้เสื้อคลุมที่ซ่อนตัวนั้นอำพรางตัวจนขึ้นมาสู่ตำแหน่งในพรรคและเป็นนายกรัฐมนตรีในที่สุด
แต่เมื่อย้อนกลับไปแล้วเขาไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำงานเพื่อสังคม เพื่อประชาชน หรือประสบการณ์ในการบริหารอะไรมาก่อนเลยในชีวิต
และเมื่อเขาอยู่ในอำนาจเขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ทำงานไม่เป็น ไม่มีภาวะของผู้นำ คับแคบ และไม่เคยได้ยินแม่ยกที่ยังสนับสนุนเขาอยู่สามารถหาเหตุผลในด้านดีของเขามาอธิบายได้เลย นอกจากพูดทำนองว่า เหตุการณ์ที่ผ่านมาถ้าไม่ได้นายกฯอย่างอภิสิทธิ์บ้านเมืองคงแย่กว่านี้ ทั้งที่จริงๆตอนนี้ก็แย่ที่สุดอย่างที่เคยมีประเทศไทยมาแล้ว และรู้ทั้งรู้ว่าอำนาจที่ค้ำจุนอภิสิทธิ์อยู่ก็คือ กลุ่มบุคคลที่ควบคุมกองทัพและบงการชักใยอภิสิทธิ์ในฐานะหุ่นเชิดทางการเมืองเท่านั้น
ผมจึงเห็นว่า อภิสิทธิ์มีความดีที่ทำให้คนทั้งสังคมเห็นว่า การเมืองได้เดินทางมาถึงจุดที่เน่าที่สุด และนำมาสู่เสียงสะท้อนที่เริ่มดังขึ้นว่า เราปล่อยให้นักการเมืองทำลายชาติบ้านเมืองอีกต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
และเราจะต้องช่วยกันขบคิดหาหนทางและกลไกระบอบประชาธิปไตยที่มีอยู่เพื่อเปลี่ยนผ่านบ้านเมืองเพื่อให้พ้นจากวงจรอุบาทว์ของนักการเมืองชั่วที่กำลังรุมกันกัดกินประเทศให้ได้
ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการยกแผ่นดินให้กับเขมรอย่างเป็นทางการ
และคงไม่มีใครยับยั้งมติฉบับนี้ได้ แม้ว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ภายใต้การนำเดินการของคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทยที่มีพล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นแกนนำหลักของการชุมนุมจะให้ข้อมูลกับประชาชนถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นนั่นก็คือ การรองรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ของกัมพูชา และจะทำให้เราเสียดินแดนให้เขมรไม่เพียงแต่พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น จะรวมพื้นที่อื่นตลอดแนวชายแดนไทยไม่จนถึงจังหวัดตราดและรวมไปถึงพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่จะต้องเปลี่ยนไปด้วย
แต่น่าเสียดายที่เสียงจากการให้ข้อมูลบนเวทีพันธมิตรฯไม่ได้รับความสนใจจากสื่อกระแสหลัก เพราะสื่อส่วนใหญ่ให้ค่าการชุมนุมของพันธมิตรฯในมุมลบว่าสร้างความวุ่นวายให้กับบ้านเมือง ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนเพราะชุมนุมบนถนนกีดขวางการจราจร ในขณะที่บางคนเหลานั้นเคยสนับสนุนการชุมนุมในรูปแบบเดียวกันตอนที่ไล่ทักษิณ
หลายคนไม่ชอบพันธมิตรฯเพราะไม่ชอบแกนนำบางคน ไม่ชอบพันธมิตรฯเพราะไม่ชอบที่พันธมิตรฯออกมาไล่ทักษิณที่เขารัก ไม่ชอบพันธมิตรฯเพราะออกมาขับไล่อภิสิทธิ์ที่เขารัก
ไม่มีใครสนใจเรื่องดินแดนและอธิปไตยของชาติ ด้วยคำพูดแบบมักง่ายว่าโลกนี้เป็นโลกไร้พรมแดน และไม่สนับสนุนสงคราม แต่วันนี้คนที่เคยพูดคำพูดนั้นบางคนสนับสนุนกองกำลังพันธมิตรตะวันตกที่รุกรานลิเบีย และแสดงออกเพื่อให้เห็นว่าตัวเองนั้นเป็นผู้สนับสนุนสงครามเพื่อสันติภาพและการปลดปล่อยประชาชนจากเผด็จการ
แต่ไม่สนใจแผ่นดินตัวเองและไม่สนใจว่าเผด็จการฮุนเซนนั้นกระทำต่อพลเมืองของเขมรไม่ต่างกัน คงเป็นเพราะพูดเรื่องไทยเขมรมันไม่เท่ไม่อินเตอร์เหมือนพูดเรื่องลิเบียตามก้นตะวันตก
นักวิชาการบางคนซึ่งเป็นเพื่อนของผมเองไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมครั้งนี้เพราะวิพากษ์วิจารณ์นักวิชาการ 7.1 ล้าน เพราะนักวิชาการบางคนเป็นที่เคารพนับถือเป็นการส่วนตัว โดยไม่ได้มองถึงเนื้อหาและบริบทในการทำงานชิ้นนี้ของนักวิชาการชุดดังกล่าว โดยเฉพาะประเด็นเขมรที่มีจุดยืนเคียงข้างกับระบอบอำมาตยาธิปไตยฮุนเซน รับเงินจากรัฐไทยแต่หาข้อมูลเพื่อสนับสนุนความชอบธรรมให้กับเขมร และสนับสนุนจักรวรรดินิยมล่าเมืองขึ้นฝรั่งเศส
และไทยน่าจะเป็นชาติเดียวในโลกที่เมื่อเกิดสงครามการแย่งชิงอธิปไตยเนื้อดินแดนด้วยการถูกเขมรยิงถล่มเข้ามากใส่บ้านเรือนของราษฎร นักวิชาการกลุ่มนี้โดยการสนับสนุนของกระทรวงการต่างประเทศ ได้เชิญทูตเขมรมาเป็นองค์ปาฐกด่าชาติตัวเองกลางเมืองหลวง และให้ข้อมูลในทางประวัติศาสตร์แบบบิดเบือน โดยที่นักวิชาการประวัติศาสตร์ไทยชุด 7.1 ล้าน นั่งฟังโดยไม่โต้แย้ง และกระทรวงการต่างประเทศไทยก็ไม่มีการตอบโต้ใดๆออกมา
และทันทีที่ลูกชายของฮุนเซนคือ ฮุน มาเนตนำทหารเข้ายิงถล่มใส่ราษฎรไทย นิตยสารของไทยได้นำเสนอเรื่องของฮุนมาเนตและครอบครัวฮุนเซนด้วยความชื่นชม
ปรากฎการณ์ทั้งหมดนี้ยังไม่มีเสียงสะท้อนออกมาจากรัฐสภาไทยที่พวกเขาว่าตัวแทนของปวงชนชาวไทยในระยบอบประชาธิปไตย ซ้ำร้าย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างนางฐิติมา ฉายแสง ได้ออกมากล่าวหาคนไทยและรัฐไทยว่าไปเรียกร้องเอาแผ่นดินของเขมร ก่อนหน้านี้น.ส.รัชดา ธนาดิเรก ส.ส.ปชป.พูดผ่านทีวีด้วยความชื่นใจว่า กรณีของเขมรนั้นเป็นเรื่องเดียวที่รัฐสภามีมติเห็นชอบร่วมกันระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล
แม้ทั้งหมดจะเป็นเรื่องเศร้า แต่ผมจะชี้ให้เห็นว่าอย่างน้อยเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดทำให้ผมเห็นด้านดีของมันบ้าง
สองสามปีมานี้หรือว่าไปแล้วย้อนไปตั้งแต่ทักษิณเข้ามาลงทุนทางการเมืองซื้อส.ส. ซื้อพรรคเพื่อให้ได้อำนาจ และใช้นโยบายในการเอื้อประโยชน์ให้กับวงศ์วานว่านเครือ จนพวกเราลุกขึ้นมาขับไล่ แม้จะไม่สำเร็จด้วยน้ำมือของเราโดยตรง เพราะอำนาจทหารเข้ามาตัดตอนเสียก่อน แต่วันนั้นพวกเราก็ได้ปลุกให้ประชาชนตื่นรู้และเรียนรู้ที่จะปกป้องสิทธิของตัวเองในระบอบประชาธิปไตยที่ไม่ได้มีคุณค่าแค่การเข้าคูหาไปกาบัตรไม่กี่วินาทีและยกอำนาจให้กลุ่มนักการเมืองไป
ทุกวันนี้เราเห็นแล้วว่า ประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งนั้นคือ การเข้ามาลงทุนทางการเมือง ด้วยการซื้อคะแนนซื้อตัวส.ส.ด้วยเงินหลายสิบล้านบาท ด้วยเป้าหมายคือให้ได้อำนาจทางการเมืองมา การลงทุนมหาศาลขนาดนี้มันเป็นคำตอบอยู่แล้วว่า พวกเขาอาสามาเพื่อทำงานรับใช้บ้านเมืองหรือแสวงหาผลประโยชน์ด้วยวิธีทางที่เราเรียกว่าระบอบประชาธิปไตย
เราได้เห็นนักการเมืองที่ไม่ว่าจะเป็นบรรหาร เป็นเสนาะ เป็นเนวิน เป็นสุวัจน์ เป็นพินิจ เป็นสนั่น เป็นสุเทพ หรือเป็นใครต่อใคร รวมมาถึงเป็นอภิสิทธิ์นั้น ไม่ได้มีเนื้อหาสาระที่แตกต่างกันเลย
บางคนที่เอ่ยชื่อมานั้นเรารู้รับรู้มองเห็นพฤติกรรมและเส้นทางอันผ่านคืนวันที่เห็นภาพด้านมืดและเลวร้ายของเขา แต่บางคนเราเคยเชื่อว่าเขาเป็นนักการเมืองน้ำดี เพราะภาพลักษณ์ภาพนอกที่ห่อหุ้มตัวตนภายในเอาไว้
ผมคิดว่าข้อดีของอภิสิทธิ์ก็คือเขาเป็นฟางเส้นสุดท้ายบนหลังลาก่อนที่มันจะทรุดตัวลงด้วยน้ำหนักที่เกินจะแบกรับ ความรู้สึกของคนไทยก็คงเช่นเดียวกัน มันน่าจะทำให้คนไทยได้รับบทเรียนว่า อย่างยึดติดตัวบุคคลที่ภาพลักษณ์ภายนอก
เมื่อมีสติแล้วเราคงย้อนกลับไปมองและบรรลุสัจธรรมได้ว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่ใครคนใดคนหนึ่งทั้งความหวังและความฝันว่าจะต้องมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ ด้วยการส่งเข้าไปเรียนโรงเรียนดี สถานการณ์ศึกษาดีแล้วก็มาสู่การเมืองโดยการสร้างฝันและผลักดันของครอบครัวในระบบเส้นสายและค่อยๆใช้เสื้อคลุมที่ซ่อนตัวนั้นอำพรางตัวจนขึ้นมาสู่ตำแหน่งในพรรคและเป็นนายกรัฐมนตรีในที่สุด
แต่เมื่อย้อนกลับไปแล้วเขาไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำงานเพื่อสังคม เพื่อประชาชน หรือประสบการณ์ในการบริหารอะไรมาก่อนเลยในชีวิต
และเมื่อเขาอยู่ในอำนาจเขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ทำงานไม่เป็น ไม่มีภาวะของผู้นำ คับแคบ และไม่เคยได้ยินแม่ยกที่ยังสนับสนุนเขาอยู่สามารถหาเหตุผลในด้านดีของเขามาอธิบายได้เลย นอกจากพูดทำนองว่า เหตุการณ์ที่ผ่านมาถ้าไม่ได้นายกฯอย่างอภิสิทธิ์บ้านเมืองคงแย่กว่านี้ ทั้งที่จริงๆตอนนี้ก็แย่ที่สุดอย่างที่เคยมีประเทศไทยมาแล้ว และรู้ทั้งรู้ว่าอำนาจที่ค้ำจุนอภิสิทธิ์อยู่ก็คือ กลุ่มบุคคลที่ควบคุมกองทัพและบงการชักใยอภิสิทธิ์ในฐานะหุ่นเชิดทางการเมืองเท่านั้น
ผมจึงเห็นว่า อภิสิทธิ์มีความดีที่ทำให้คนทั้งสังคมเห็นว่า การเมืองได้เดินทางมาถึงจุดที่เน่าที่สุด และนำมาสู่เสียงสะท้อนที่เริ่มดังขึ้นว่า เราปล่อยให้นักการเมืองทำลายชาติบ้านเมืองอีกต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
และเราจะต้องช่วยกันขบคิดหาหนทางและกลไกระบอบประชาธิปไตยที่มีอยู่เพื่อเปลี่ยนผ่านบ้านเมืองเพื่อให้พ้นจากวงจรอุบาทว์ของนักการเมืองชั่วที่กำลังรุมกันกัดกินประเทศให้ได้