ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน แห่งสหรัฐอเมริกา เรียก พ.อ. มูอัมมาร์ กัดดาฟี ประธานาธิบดีลิเบียว่า "หมาบ้าแห่งตะวันออกกลาง" ในระหว่างการแถลงข่าว เมื่อเดือนเมษายน ปี 2529 เพราะกัดดาฟี มีทัศนคติที่ต่อต้านสหรัฐ ฯ และชาติตะวันตกอย่างรุนแรง และยังอยู่เบื้องหลัง ให้การสนับสนุนการก่อการร้ายที่มีตะวันตกเป็นเป้าหมายหลายๆครั้ง
ครั้งที่รุนแรงที่สุดคือ การระเบิดกลางหาวของสายการบินแพนแอมเหนือเมืองล็อกเคอร์บี้ ประเทศสก็อตแลนด์ ในปี 2531 ที่มือวางระเบิดเป็นชาวลิเบีย 2 คน กัดดาฟีปฏิเสธไม่ยอมส่งตัวผู้ต้องหาทั้งสองให้สหรัฐฯ หรืออังกฤษ อยู่นานจนสหประชาชาติมีมติคว่ำบาตร ในที่สุด ด้วยการเกลี้ยกล่อมของประธานาธิบดีเนลสัน แมนเดล่า แห่งอาฟริกาใต้ ซึ่งสนิทสนมกับกัดดาฟี เพราะกัดดาฟี่ เคยสนับสนุนแมนเดลล่า ในการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของคนผิวสีในอาฟริกาใต้มาก่อน กัดดาฟี่ก็ยอมส่งตัวผู้ต้องหาไปขึ้นศาลที่เนเธอร์แลนด์ โดยใช้กฎหมายสก็อตแลนด์ ดำเนินคดี
ในปี 2546 กัดดาฟียอมจ่ายค่าเสียหายให้ญาติผู้เสียชิวิตในครั้งนั้น 270 รายๆละประมาณ 10 ล้านเหรียญ เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบ และแลกกับการให้ยูเอ็น ยกเลิกการคว่ำบาตร และเพื่อป้องกันตัวเอง เพราะเขาเกรงว่า สหรัฐฯ อาจจะบุกลิเบีย เหมือนที่บุกเข้าไปยึดอิรัก และอาฟกานีสถาน
ในสายตาของชาวลิเบีย และโลกอาหรับ รวมทั้งผู้นำชาติที่ต่อต้านสหรัฐฯ และตะวันตก อย่างเวเนซุเอลา นิคารากัว และคิวบา กัดดาฟี่คือ ฮีโร่ของประชาชนในโลกที่สาม ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับจักรวรรดินิยมอเมริกา แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน
แต่วันนี้ กัดดาฟี่ ได้ฉีกหน้ากากวีรบุรุษทิ้ง เปิดเผยให้โลกอาหรับและคนทั้งโลกเห็นธาตุแท้ของเขาว่า เขาคือทรราชย์ ที่กล้าสั่งให้สังหารประชาชนด้วยอาวุธสงคราม เครื่องบินรบ เขาคือ หมาบ้า ที่แว้งกัดประชาชน ที่ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจเผด็จการของเขาต่อไปอีก
ความโหดเหี้ยมของกัดดาฟีนั้น ทำให้แม้แต่คนของเขาเองก็ตัดสินใจตีตัวออกดห่าง ไม่ขอร่วมสังฆกรรมด้วยคณะทูตลิเบียประจำสหประชาชาติเรียกร้องให้โค่นล้มกัดดาฟีและให้นานาชาติเข้าแทรกแซง เพราะเขาทำสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ประชาชน ส่วนทูตลิเบียประจำสันนิบาตอาหรับ เอกอัครราชทูตลิเบียประจำสหรัฐฯ อินเดีย จีน ออสเตรเลีย บังคลาเทศ มาเลเซีย และรมว.ยุติธรรมลิเบียก็ลาออกเพราะรัฐบาลใช้กำลังกวาดล้างผู้ประท้วงรุนแรง โหดเหี้ยมเกินเหตุ
นอกจากนี้ นายทหารระดับสูงกลุ่มหนึ่งยังเรียกร้องให้ทหารเข้าร่วมกับกลุ่มผู้ประท้วง
การกล่าวปราศรัยทางทีวีเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ที่กัดดาฟี่เรียกร้องให้ผู้สนับสนุนตัวเขาออกมา "กวาดล้าง" ผู้ชุมนุมประท้วง ซึ่งเขาเรียกว่า เป็น "แมลงสาบ" เป็น "หนู" ให้สิ้นซาก ก็หมือนกับการประกาศสงครามล้างเผ่าพันธุ์กับคนในชาติเดียวกัน
การประท้วงขับไล่กัดดาฟี ลุกลามไปรวดเร็วเกินกว่าคาดหมาย ความจริงแล้วชาติอาหรับ ที่ประชาชนลุกขึ้นขับไล่ผู้ปกครอง ตามอย่างตูนีเซีย และอียิปต์ ที่ได้รับการคาดหมายว่า จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอนคือ เยเมน และบาห์เรน
สำหรับลิเบีย แม้จะไม่สามารถหลีกเลี่ยง กระแสการลุกขึ้นสู้ของประชาชนที่ลุกลามไปทั่วโลกอาหรับ ในอาฟริกาตอนเหนือ และตะวันออกลาง รวมทั้งรัฐอิสลาม เปอร์เซียอย่างอิหร่าน แต่ไม่มีใครคาดคิดว่า จะเกิดขึ้นรวดเร็วเพียงนี้ เพราะกัดดาฟี ซึ่งปกครองลิเบียมานาน 41 ปี คุมกลไกรัฐทั้งกองทัพและตำรวจอย่างเบ็ดเสร็จ มีความเข้มแข็ง มากกว่าผู้นำโลกอาหรับอื่นๆ
การประท้วงขับไล่กัดดาฟี่ และการลุแก่อำนาจ การหลงตัวเอง ของกัดดาฟี่ ทำให้สถานการณ์ รุนแรงบานปลาย จนหยุดไม่อยู่แล้ว ตอนนี้ เหลือเพียงว่าเหตุการณ์จะจบอย่างไร จะมีคนตายเพิ่มอีกกี่ร้อยคน จะเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างกองทัพนักรบรับจ้างของกัดดาฟี กับกองทัพลิเบีย ซึ่งรับไม่ได้กับการเข่นฆ่าประชาชนหรือไม่ และชะตากรรมของกัดดาฟี จะเป็นอย่างไร
กัดดาฟี เกิดเมื่อ พ.ศ. 2485 ในกระโจมในทะเลทราย พ่อเป็นชาวอาหรับ เบดูอิน ซึ่งพเนจรเร่รอนไปในทะเลทราย เลี้ยงสัตว์ขาย ตระกูลของเขานับตั้งแต่ปู่ล้วนเคยต่อสู้กับทหารอิตาเลียน ที่เข้ามายึดครองลิเบียอย่างกล้าหาญ ถือได้ว่าเขาสืบสายเลือดชาตินิยมอาหรับมาจากบรรพบุรุษเลยทีเดียว
เมื่อ อายุได้ 14 ปี ใน พ.ศ. 2499 เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในโลกอาหรับ ก็ปลุกจิตสำนึกความสำนึกทางการเมืองแก่กัดดาฟีอย่างแรงกล้า เนื่องจากในปีนั้น นัสเซอร์ ผู้นำแห่งอียิปต์ได้ยึดคลองสุเอชเป็นของรัฐ ยังผลให้อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิสราเอล ยกทัพบุกอียิปต์
กัดดาฟี ได้จัดตั้งกลุ่มนักเรียนขึ้น เพื่อสนับสนุนนัสเซอร์ ผู้เป็นวีรบุรุษของเขา ด้วยการ เคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้งเดินขบวนและหยุดเรียน จนถูกไล่ออกจากโรงเรียน ต้องจ้างครูมาสอนที่บ้านจึงเรียนจบ เมื่ออายุได้ 19 ปี ก็เข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยที่แบงกาซี ตามแบบนัสเซอร์ เมื่อเป็นนักเรียนนายร้อย กัดดาฟี ก็ค่อยๆปลูกฝังความคิดในเรื่องชาตินิยมอาหรับแก่เพื่อนๆ ชั้นเดียวกัน ทำนองเดียวกับที่นัสเซอร์ จัดตั้งขบวนการนายทหารเสรีในวัยหนุ่ม เพื่อปฎิวัติโค่นราชบัลลังก์ฟารุค
เมื่อจบจากโรงเรียนนายร้อยแล้ว กัดดาฟีได้เป็นนายทหารในกองทัพบก และทำงานใต้ดินติดต่อกับเพื่อนๆ นายทหารของตน เมื่ออายุได้ 24 ปี เขาถูกส่งไปศึกษาต่อวิชาสื่อสารที่ประเทศอังกฤษเป็นเวลา 6 เดือน ต่อมาใน ปี พ.ศ. 2512 ก็ได้ติดยศร้อยเอก ทำหน้าที่รักษาการในตำแหน่งนายทหารคนสนิทผู้บัญชาการกองพลน้อยทหารสื่อสาร และในปีเดียวกันนั้นเอง กัดดาฟี่กับคณะนายทหารของเขา ทำการยึดอำนาจโค่นล้มรัฐบาลระบบกษัตริย์ของลิเบีย
ลิเบียในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น เป็นแหล่งดึงดูดมหาอำนาจตะวันตก เพราะมีการค้นพบบ่อน้ำมัน ใน พ.ศ. 2502 ชนชั้นปกครอง ขายสัมปทานบ่อน้ำมันบริษัทต่างชาติ เงินค่าสัมปทานที่ได้ก็เก็บสะสะมไว้กับตัวเอง ไม่ได้กระจายไปสู่ประชาชน ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในลิเบียถัดจากกษัตริย์ไอดริส ได้แก่ตระกูลเชลฮี ซึ่งกุมอำนาจสูงสุดทางการเมือง และจากความแตกต่าง ระหว่างชนชั้นปกครอง ที่มั่งคั่ง และพลเมือง ที่อดอยากยากจน ทำให้กัดดาฟีและคณะนายทหารของเขา ตัดสินใจโค่นล้มชนชั้นปกครองเดิม
วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2512 กษัตริย์ไอดริสเสด็จฯ เยือนตุรกี ในคืนนั้นเอง นายทหารผู้ใหญ่ของกองทัพบกได้เชิญนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มาร่วมงานเลี้ยง พอตกค่ำกัดดาฟีก็เคลื่อนกำลังเข้าจู่โจมจับกุมตัวนายทหาร และนายตำรวจเหล่านั้นได้ทั้งหมด จากนั้นนายทหารชั้นนายร้อยทั้งหลายก็แยกย้ายกันเข้ายึดเมืองตริโปลี และ เบงกาซี โดยใช้รถถัง เข้ายึดสถานีวิทยุ ที่ทำการไปรษณีย์ และสถานที่สำคัญๆ ต่างๆ ตลอดจนค่ายทหารและพระราชวังด้วย
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กองทัพบก และตำรวจแห่งชาติก็อยู่ภายใต้การบังคับการของกัดดาฟี เขาได้เลื่อนยศตนเองเป็นนายพันเอก และดำรงตำแหน่งประมุขสูงสุดของสาธารณรัฐลิเบีย และผู้บัญชาการทหารสูงสุด และประธานสภาปฎิวัติ ซึ่งเป็นองค์กรสุงสุดในการปกครองประเทศ ประกอบด้วยสมาชิก 12 คน ล้วนแต่เป็นนายทหารที่ร่วมกันเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองมาด้วยกัน
กัดดาฟี สั่งให้สหรัฐฯและอังกฤษ ถอนฐานทัพออกจากลิเบียอีกต่อไป และขึ้นค่าภาคหลวงน้ำมัน อีก 120 เปอร์เซนต์ ก่อนจะยึดสัมปทานบ่อน้ำมันมาเป็นของรัฐ รายได้จากน้ำมัน ทำให้ลิเบียเป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดประเทศหนึ่งในตะวันออกกลาง กัดดาฟีใช้เงินที่ได้จากน้ำมันพัฒนาโครงการเศรษฐกิจ และก่อสร้างบ้านเรือนที่ทันสมัย
กัดดาฟี ถ่ายทอดแนวความคิดทางการเมือง ผ่านหนังสือที่เขาเขียนขึ้นเองชื่อ Green Book ซึ่งเป็นการนำเอาหลักการต่าง ในพระคัมภีร์กุรอานมาปรับใช้ในโลกที่สมัยใหม่ เขาถือว่าลัทธิทุนนิยมล้าสมัยไปหมดแล้ว ส่วนลัทธิมาร์กซ์ก็คือสังคมในอุมดมคติ ที่ปกครองด้วยระบบราชการ
ในสายตาของชาวลิเบีย และชาวอาหรับ กัดดาฟี่ คือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของโลกอาหรับ ผู้สืบทอดอุดมการณ์ชาตินิยมอาหรับจากนัสเซอร์ แต่ในสายตาของอเมริกา เขาคือปีศาจร้ายที่ต้องต้องทำลายให้สิ้น เพราะอยู่เบื้องหลังพวกก่อการร้ายหลายๆครั้ง
วันนี้ กัดดาฟี ทำในสิ่งที่สหรัฐฯอยากจะเห็นมานานแล้ว คือ ทำลายตัวเอง แต่ว่า เป็นวิธีการที่มีต้นทุนอย่างมหาศาล เพราะต้องแลกกับ เลือด และน้ำตา ของชาวลิเบียทั้งประเทศ