วานนี้(21 มี.ค) ที่ประชุมวุฒิสภา มีมติเอกฉันท์ 36 เสียง งดออกเสียง 25 เสียง เห็นชอบกับร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณพ.ศ.2554 วงเงิน 9.9 หมื่นล้านบาท โดยหลังจากนี้วุฒิสภาจะส่งร่างพ.ร.บ.ให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อประกาศใช้ต่อไป
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปต่อที่ประชุมว่า งบประมาณนี้เกิดได้เพราะจัดเก็บรายได้เกินเป้า การประเมิณถึงวันนี้เรามั่นใจว่าเกิน 1.2 แสนล้านบาทแน่นอน ส่วนเรื่องการตั้งงบประมาณชดเชยคงคลัง 8.4 หมื่นล้านบาทเพื่อรักษาวินัยการเงินการคลังและให้รัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามารับหน้าที่ต่อสามารถมีเม็ดเงินในการจัดทำงบประมาณปี2555ได้ และสาเหตุที่สำคัญที่ต้องเสนองบประมาณกลางปีเพราะเงินจ่ายสำรองฉุกเฉินได้ใช้จ่ายไปอย่างมากเมื่อเกิดเหตุการณ์อุทกภัยรวมไปถึงการช่วยคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในตะวันออกกลาง จึงมีความจำเป็นที่รัฐบาลต้องจัดทำงบประมาณครั้งนี้
“ยอมรับว่าการแทรกแซงราคาน้ำมันดีเซลเกิดเสียงวิจารณ์ว่าทำให้คนรวยได้รับประโยชน์ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบว่ามีรถเก๋ง 1 ล้านคันที่ใช้ดีเซลจากทั้งหมด 7 ล้านคัน โดยรถกะบะและรถขนส่งคิดเป็น 86 % จึงเห็นว่ามาตรการกดังกล่าวจะเป็นการช่วยลดค่าขนส่งสินค้าไม่ให้มีต้นทุนราคาแพง แน่นอนว่าจะมีคนที่ไม่ได้ยากจนได้รับประโยชน์แต่เมื่อมีการประเมิณแล้วว่าหากมีมาตรการกีดกัน 14 % ไม่ให้เข้าร่วมจะเป็นปัญหายุ่งยากและเสียงบประมาณในการดำเนินการโดยไม่จำเป็นและคุ้มค่า เช่น หากมีการแจกคูปองก็จะเกิดปัญหาการอ้างสิทธิ์ในการได้คูปองกันจำนวนมากและยากต่อการตรวจสอบจนทำให้เกิดการทุจริต” นายอภิสิทธิ์
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปต่อที่ประชุมว่า งบประมาณนี้เกิดได้เพราะจัดเก็บรายได้เกินเป้า การประเมิณถึงวันนี้เรามั่นใจว่าเกิน 1.2 แสนล้านบาทแน่นอน ส่วนเรื่องการตั้งงบประมาณชดเชยคงคลัง 8.4 หมื่นล้านบาทเพื่อรักษาวินัยการเงินการคลังและให้รัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามารับหน้าที่ต่อสามารถมีเม็ดเงินในการจัดทำงบประมาณปี2555ได้ และสาเหตุที่สำคัญที่ต้องเสนองบประมาณกลางปีเพราะเงินจ่ายสำรองฉุกเฉินได้ใช้จ่ายไปอย่างมากเมื่อเกิดเหตุการณ์อุทกภัยรวมไปถึงการช่วยคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในตะวันออกกลาง จึงมีความจำเป็นที่รัฐบาลต้องจัดทำงบประมาณครั้งนี้
“ยอมรับว่าการแทรกแซงราคาน้ำมันดีเซลเกิดเสียงวิจารณ์ว่าทำให้คนรวยได้รับประโยชน์ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบว่ามีรถเก๋ง 1 ล้านคันที่ใช้ดีเซลจากทั้งหมด 7 ล้านคัน โดยรถกะบะและรถขนส่งคิดเป็น 86 % จึงเห็นว่ามาตรการกดังกล่าวจะเป็นการช่วยลดค่าขนส่งสินค้าไม่ให้มีต้นทุนราคาแพง แน่นอนว่าจะมีคนที่ไม่ได้ยากจนได้รับประโยชน์แต่เมื่อมีการประเมิณแล้วว่าหากมีมาตรการกีดกัน 14 % ไม่ให้เข้าร่วมจะเป็นปัญหายุ่งยากและเสียงบประมาณในการดำเนินการโดยไม่จำเป็นและคุ้มค่า เช่น หากมีการแจกคูปองก็จะเกิดปัญหาการอ้างสิทธิ์ในการได้คูปองกันจำนวนมากและยากต่อการตรวจสอบจนทำให้เกิดการทุจริต” นายอภิสิทธิ์