“สอดแนมการเมือง”
โดย…ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย
สิบปากว่า..ไม่เท่าหนึ่งตาเห็นและหนึ่งตาเห็น..ก็ไม่เท่าสองมือคลำ!
ต้องยอมรับว่า นายพนิช วิกิจเศรษฐ์ และอีก 6 คนไทย เปิดหูเปิดตาคนไทยทั้งชาติได้รับรู้ความลับที่ชายแดนไทย-กัมพูชา รวมทั้งเปิดโปงรัฐบาลอภิสิทธิ์ ซึ่ง“ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน”กับการเสียดินแดนไทยให้เขมร ที่“บ้านหนองจาน”จังหวัดสระแก้ว
เพราะรัฐบาลไทยหลายรัฐบาลจงใจ ปล่อยให้ทหารเขมรกลุ่มใหญ่รุกล้ำ-ยึดครองแผ่นดินไทย!
เพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ปล่อยให้ทหารเขมร บังอาจจับคนไทยถึงในดินแดนไทย แล้วนำตัวไปขึ้นศาลชาติเขมรแบบต่อหน้าต่อตา!!
ปฏิบัติการค้นข้อเท็จจริงในดินแดนบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้วเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2552 ของ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ครั้งนี้ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รับรู้มาโดยตลอด เมื่อคณะของนายพนิชเดินทางเข้าบ้านหนองจาน ซึ่งอยู่ไกล้หลักเขตแดน 45-46 ของไทย-กัมพูชา ผืนดินไทยแถบนี้ชาวบ้านมีเอกสารสิทธิ์ ของทางราชการไทยหลากหลายรูปแบบ เอกสารบางฉบับเป็นถึง น.ส.3
แต่ทหารเขมรที่ตั้งกองกำลังอย่างเปิดเผยอยู่ในดินแดนไทยแห่งนี้ ได้ตรงเข้าจับกุมบุคคลทั้ง 7 ทันที นายพนิชจึงโทรศัพท์ไปหาเพื่อนรัก ที่ชื่อ“อภิสิทธิ์”ซึ่งดอดไปส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ กับ“แตงโม”ผู้ศรีภริยา ณ บ้านพักรับรองของบริษัท ตากไมนิ่ง จำกัด
เหมืองแร่ที่นายกฯไปพักผ่อนแห่งนี้ กำลังมีปัญหาในการทำลายสิ่งแวดล้อม จนถูกชาวบ้านกว่าพันครอบครัวฟ้องร้องเป็นคดีความอยู่ในศาลขณะนี้!
ทว่า..โทรศัพท์สายตรงถึงนายกฯของนายพนิช ไม่เกิดอะไรที่ดีต่อคนไทยทั้ง7 คนแม้แต่น้อย เพราะนายกฯอภิสิทธิ์ไม่มีคำสั่งใดๆให้ตำรวจตชด.หรือทหารไทย เข้าไปยุติการจับกุมของทหารเขมรแต่ประการใดเลย
สุดท้าย..คนไทยทั้ง 7 คนก็ถูกทหารเขมร ลากตัวออกจากประเทศไทยไปตีตรวน คุมขังอยู่ในคุกเปรยซอร์-กรุงพนมเปญในประเทศกัมพูชา!
เท่านั้นยังไม่หนำใจ..รัฐบาลไทยยังทำตัวเป็น“พยานปากเอก”ให้เขมรอีกด้วย โดยตัวนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองนายกฯกำกับดูแลด้านความมั่นคง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รัฐมนตรีกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ นายกษิต ภิรมย์ ที่ประสานเสียงเดียวกันว่า
7 คนไทยได้รุกล้ำเข้าไปในดินแดนของกัมพูชา ทั้งๆที่บรรดา ฯพณฯ ท่านที่“ปากเสีย”เหล่านี้ ยังมิได้สำรวจตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนเลยว่า คนไทยทั้ง 7 ล้ำแดนเขมรจริงอ๊ะป่าว? หรือเป็นเพราะทหารเขมรบุกเข้ามาอยู่ในดินแดนไทย แล้วขี้ตู่ว่า..ดินแดนไทยเป็นดินแดนของชาติเขมร เมื่อเห็นคนไทยกลุ่มนี้เดินดุ่มๆอยู่ ก็เลยจับ7 คนไทยไปขึ้นศาลและติดคุกเขมรเสียเลย..
ทว่า..ประชาชนผู้รักชาติรักดินแดนไทยไม่ยินยอม จึงนำพยานหลักฐานมากมายออกมาเปิดเผยว่า 7 คนไทยถูกทหารเขมรจับบนผืนแผ่นดินไทย แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็พยายามแก้ต่างให้เขมร ด้วยการยกหลักฐานเท็จมาตอบโต้คนไทยที่รักชาติอยู่ตลอดเวลา
ที่สำคัญ..รัฐบาลไทยกลับเป็นฝ่ายกดดันให้คนไทยทั้ง 7 ยอมรับ..ว่ากระทำผิดในการรุกล้ำดินแดนของเขมร เพื่อศาลฯกัมพูชาจะได้ให้ประกันตัวชั่วคราว
นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ กับคนไทยอีก 4 คน จำต้องทำตามรัฐบาลอภิสิทธิ์กดดัน ศาลเขมรจึงให้ประกันตัวกลับประเทศไทย ในขณะที่ นายวีระ สมความคิด กับ นางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ไม่ยอมทำตามรัฐบาลไทยและศาลเขมร เลยโดนนายฮุนเซนยัดข้อหาจารกรรมเพิ่มอีกหนึ่งกระทง
สุดท้าย..ศาลเขมรได้ตัดสินให้จำคุกนายวีระ 8 ปี ส่วนนางสาวราตรีถูกจำคุก 6 ปี
งานนี้..กระแสข่าวลับแต่ไม่ลึกระบุว่า นายวีระโดนจับยัดคุกเขมรถึง 8 ปี เพราะโดน“ใบสั่ง”จากผู้ยิ่งใหญ่ไทยกลุ่มหนึ่ง ที่ถูกนายวีระเปิดโปงการทุจริตในหลายกรณี ประจวบกับนายวีระเป็นหนึ่งในคนไทยรักชาติ ที่ผู้ต่อสู้กับการยึดดินแดนไทยของเขมรฮุนเซนอย่างถึงลูกถึงคน
วีระ สมความคิด จึงเป็น“เหยื่อ”ที่ใครบางคนในรัฐบาลไทย และรัฐบาลเขมรจงใจกลั่นแกล้ง-ทำร้ายนายวีระ..อย่างที่เห็นไงล่ะครับ!
แต่การที่รัฐบาลไทยให้คนไทยทั้ง 7 ซึ่งถูกทหารเขมรจับบนผืนแผ่นดินไทย ลากตัวไปขึ้นศาลในประเทศเขมร ย่อมเป็นหลักฐานสำคัญที่ทำให้นานาชาติเข้าใจว่า แผ่นดินตามแนวแผนที่ฝรั่งเศสมาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ที่ทับซ้อนกินลึกเข้ามาในดินแดนไทยนั้น แท้จริง..เป็นดินแดนของชาติเขมรแต่เพียงผู้เดียว!
เหตุที่ทำให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่กล้าและไม่เคยประกาศต่อชาวโลกว่า ไทยไม่รับรองแผนที่ฯ 1 ต่อ 2 แสน ที่เส้นแบ่งเขตแดนทับซ้อนกินลึกเข้ามาในดินแดนไทย และกัมพูชาได้บุกรุกเข้ามายึดครองดินแดนไทยมากว่า 10 ปี รวมทั้งทหารเขมรยังจับ7 คนไทยในดินแดนของไทยอีก
โดยรัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่มีน้ำยาที่จะทวงคืน ดินแดนไทยจากเขมรได้เลย นอกจากเดินตามกลเกมการเมืองของเขมรฮุนเซน ซึ่งทำให้ไทยเสียเปรียบเขมรทุกประตูมาโดยตลอด
ทั้งนี้..เพราะประเทศไทยและคนไทยเองนั่นแหละ ที่เป็นคนไปเซ็น MOU2543 ซึ่งรับรองแผนที่ฯ1ต่อ2 แสน ซึ่งเป็นต้นเหตุให้กัมพูชาใช้เป็นข้ออ้าง ในการบุก-ยึด-แผ่นดินไทยทั้งภูมะเขือ-ตั้งหมู่บ้าน-ตลาด-วัดแก้วฯ-สร้างถนนขนอาวุธเข้ามาในดินแดนไทย
4 กุมภาพันธ์ 2554 ฮุนเซนก็กดปุ่มให้ลูกชายนายฮุนมาเนต สั่งทหารเขมรในสังกัดเปิดฉากยิงถล่มประเทศไทย ด้วยอาวุธสงครามใหญ่น้อยนานาชนิด ทำลายทั้งชีวิต-บ้านเรือน-สถานที่ราชการของคนไทยจนวินาศสันตะโร โดยทหารไทยได้ยิงตอบโต้ทหารเขมรเป็นครั้งคราว
แน่นอน..สงครามชายแดนที่เกิดวูบแล้วดับวาบลงนี้ เป็นแค่ลิเกทางการเมืองของเขมรฮุนเซนกับนายทหารใหญ่บางคนของไทย ที่หาผลประโยชน์อยู่ตามชายแดนไทย-กัมพูชา เพราะยิงตูมตามกันได้ไม่กี่วันพอเป็นพิธี ก่อนที่นายทหารทั้ง 2 ฝ่ายจะวิ่งโร่ไปเจรจาสงบศึกกัน
ละครสงครามชายแดนที่ฮุนเซนก่อขึ้นครั้งนี้ เขมรจอมเจ้าเล่ห์ฮุนเซนถือโอกาสประกาศยกเลิกการเจรจาทวิภาคีกับไทย แล้วเรียกร้องให้อาเซี่ยนเข้ามาไกล่เกลี่ย ข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชาแทน
จากนั้น..เขมรฮุนเซนก็ยื่นเรื่องไปยังองค์กร“ยูเอ็นเอสซี” ก่อนที่“ยูเอ็นเอสซี”จะส่งลูกกลับมาให้อาเซียน เป็นคนกลางแก้ไขปัญหาไทย-กัมพูชาแทน
งานนี้..เขมรฮุนเซนจึงเด้งรับในทันที เพราะประเทศอินโดนีเซียที่เป็นประธานอาเซี่ยน ในขณะนี้ซี้ย่ำปึ๊กกับประเทศเขมรยิ่งนัก เนื่องจากประเทศอินโดนีเซีย..คือ..ชาติที่ช่วยฝึกทหารให้ทหารกัมพูชาไงล่ะครับ
เรื่องชักจะบานปลายไปในทางร้ายเสียแล้วล่ะสิ เพราะหากประเทศไทยยอมปล่อยให้ทหารอินโดนีเซีย เข้ามาสังเกตุการณ์อยู่ทางทหารเขมร 15 คน และอยู่ในฝ่ายทหารไทยอีก 15 คน
ปัญหาของไทยคือ..กัมพูชาจะวางกำลังทหารอินโดนีเซียไว้จุดไหนบ้าง? แต่ที่แน่ๆ..หนีไม่พ้นบนปราสาทพระวิหาร บนภูมะเขือ บริเวณวัดแก้วฯ ฯลฯ ซึ่งอยู่ในดินแดนของไทยทั้งสิ้น
ถ้าเป็นเช่นนั้น..ก็เท่ากับประเทศไทยได้เสียดินแดนให้ชาติเขมร อย่างไม่มีกำหนดเวลาไปโดยปริยายแล้ว เพราะรัฐบาลไทยไม่อาจใช้กองทัพที่เหนือกว่า ผลักดันทหารเขมรให้ออกจากผืนแผ่นดินไทยได้อีกต่อไป..จริงไหม?
งานนี้รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็รู้อยู่แก่ใจว่า หากยอมให้อินโดนีเซียเป็น“มือที่สาม” ชาติไทยมีหวัง..อิ๊บอ๋าย..แน่นอน!
การเสียดินแดนของชาติ กำลังเป็นผลงานโครตอัปยศที่สุดของรัฐบาลอภิสิทธิ์ครับ!