“ปานเทพ” แย้มตอบโต้รัฐ ยื่นหนังสือเตือนครั้งที่ 3 ก่อนยื่น ป.ป.ช.พรุ่งนี้ ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ปล่อย 7 คนไทยขึ้นศาลเขมร แถมให้ยึดพื้นที่รอบพระวิหาร ซ้ำใช้ พ.ร.บ.มั่นคงมิชอบ เล็งแยกฟ้องรายคดี ตั้งฉายา “เจ้าพระยาสุขาวินาศ พิชิตทวิเลน มหาถุงยาง เสนาบดีเตโชฮุนมะสิทธิ์” จี้ กต.เปิดทีโออาร์อาเซียน ยันเคารพการตัดสินใจ “วีระ” จี้รัฐรับผิดชอบ
วันนี้ (7 มี.ค.) ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดเผยว่า พันธมิตรฯ และคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย ได้มีความเห็นในการเริ่มกระบวนการตอบโต้รัฐบาลอย่างเป็นขั้นตอน โดยเริ่มตอบโต้ทางข้อกฎหมาย โดยในวันนี้ (7 มี.ค.) ตนและนายเทพมนตรี ลิมปพยอม กรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย จะเป็นตัวแทนไปยื่นหนังสือเรื่องขอให้รัฐบาลปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องดินแดนและอธิปไตยของชาติบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะบริเวณเขาพระวิหาร และภูมะเขือ ต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผ่านสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งครั้งนี้เป็นการยื่นหนังสือครั้งที่ 3 เพื่อเตือนให้นายกฯ ทำหน้าที่ปกป้องดินแดนของชาติ และทวงคืนพื้นที่ที่ถูกยึดครองไปแล้ว รวมทั้งหยุดยั้งการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง ที่เป็นการกระทำขัดรัฐธรรมนูญ และขัดขวางประชาชนไม่ให้ทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติตามหน้าที่ในรัฐธรรมนูญ
“เราไม่ต้องการพบนายกฯ เพียงแต่ต้องการไปยื่นหนังสือเพื่อให้มีการลงทะเบียนตอบรับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้ต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม ว่านายกฯ ได้ทราบแล้ว เมื่อครบองค์ประกอบความผิด เราก็ได้กำหนดไปยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.ในวันพรุ่งนี้ (8 มี.ค.)” นายปานเทพกล่าว
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวต่อว่า คำร้องที่จะยื่นต่อ ป.ป.ช.นั้นจะระบุถึงต่อกรณีที่นายกฯ และผู้ที่เกี่ยวข้องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งจากกรณีของ 7 คนไทยที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุมในพื้นที่ที่มีหลักฐานมากมายระบุว่าเป็นผืนแผ่นดินไทย ปล่อยให้กัมพูชาใช้อธิปไตยทางศาลเหนือดินแดนไทย และหลังจากนี้ก็จะมีอีกหลายเรื่องในการยื่นฟ้องต่อ ป.ป.ช. ทั้งคดีพื้นที่รอบเขาพระวิหาร ภูมะเขือ วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ที่ปล่อยให้กัมพูชายึดครองไปแล้ว รวมทั้งปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธม ที่กำลังสูญเสียเพิ่มเติม โดยเราจะแยกคดีในแต่ละกรณียื่นต่อ ป.ป.ช. ทั้งยังมีกระบวนการทางกฎหมายอื่นๆ ทั้งการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง และออกหมายเรียกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่จะมีการดำเนินการทางอาญา รวมทั้งกระบวนการถอดถอนนายกฯออกจากตำแหน่ง ซึ่งจะมีการดำเนินการต่อไปอีกหลายคดี
นายปานเทพกล่าวว่า จากการที่นายกฯพยายามมาทวงคืนถนน 2 เลนจากประชาชน หรือรื้อห้องสุขาของผู้ชุมนุม แทนที่จะไปสนใจการทวงคืนดินแดนจากกัมพูชานั้น ทำให้ขณะนี้ในสังคมเฟซบุ๊กได้วิพากษ์วิจารณ์โดยขนานนามให้นายฮุนเซนเป็น “สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเตโชฮุนเซน ผู้พิชิต 4.6 ตร.กม.” แต่นายอภิสิทธิ์ได้รับการขนานนามว่า “เจ้าพระยาสุขาวินาศ พิชิตทวิเลน มหาถุงยาง เสนาบดีเตโชฮุนมะสิทธิ์”
“กลายเป็นชื่อที่ถูกล้อเลียนว่านายกฯ มัวแต่สนใจเรื่องเล็กๆ ทำกับประชาชนคนไทยที่อ่อนแอกว่า แต่กลับคนที่มารุกล้ำอธิปไตยของชาติกลับไม่สนใจ คนจึงไปพูดกันว่านายกฯ ไปที่ไหน ส้วมแตกที่นั่น” นายปานเทพกล่าว
นายปานเทพยังได้กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวจากอินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียนที่ระบุถึงการส่งทหารอินโดนีเซียมาสังเกตการณ์ และเป็นสักขีพยานว่าจะไม่มีการปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชา และบอกด้วยว่าทางฝ่ายไทยได้รับแผนแม่บทและข้อกำหนด หรือ TOR ไปแล้วว่า ตนขอเรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศเปิดหนังสือ TOR ให้ประชาชนได้รับรู้ว่ารัฐบาลไปตกลงอะไรมากับอาเซียน หรือมีแผนการอย่างไร เพราะการเข้าสังเกตการณ์ของทหารอินโดนีเซีย มีความหมายเท่ากับประเทศไทยสละการผลักดันกองกำลังกัมพูชาที่รุกล้ำดินแดนอธิปไตยของไทยอยู่ รวมทั้งสละการใช้แสนยานุภาพทางการทหารเป็นอำนาจต่อรองในการเจรจา เท่ากับว่าไทยได้สูญเสียอธิปไตยอย่างไม่มีกำหนดเวลา จนกว่าการเจรจาจะเป็นที่พอใจของฝ่ายกัมพูชา ดังนั้น TOR ที่อาเซียนเสนอมาเข้าข่ายมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอาณาเขต ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา และต้องทำประชาพิจารณ์อย่างรอบด้าน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190
“หากรัฐบาลไม่เปิดเผย TOR ดังกล่าวเท่ากับกระทำขัดรัฐธรรมนูญ โดยที่ประชาชนไม่รู้ว่ารัฐบาลไปตกลงอะไรกับทางอาเซียนอีก” นายปานเทพกล่าว
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวระบุว่านายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ที่ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำในกัมพูชา มีอาการป่วยหนักด้วย โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวว่า จากการเปิดเผยจากครอบครัวของนายวีระที่ได้ไปเยี่ยมมา ทำให้ทราบว่านายวีระป่วยหนัก และขอร้องให้คุณแม่ไปพบที่กัมพูชาในสัปดาห์หน้า เนื่องจากคิดถึงแม่มาก โดยที่ทางคุณแม่นายวีระเองก็ป่วยอยู่ แต่ทำได้เพียงทานยาบรรเทาอาการ เพื่อเดินทางไปพบทุกคนที่สามารถช่วยเหลือบุตรชายของตนได้ ซึ่งล่าสุดนายปรีชา สมความคิด น้องชายของนายวีระเปิดเผยว่านายวีระ ได้ลงนามในหนังสือคัดค้านการอุทธรณ์ ซึ่งพันธมิตรฯให้ความเคารพการตัดสินดังกล่าว โดยถือว่าการทำหน้าที่ของนายวีระ ในฐานะคนไทยที่เดินเข้าไปในพื้นที่บ้านหนองจาน เพื่อพิสูจน์ความจริง ได้ทำหน้าที่คนไทยอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ในทางกลับกัน รัฐบาลไทยต่างหากที่พยายามปัดความรับผิดชอบ ทั้งที่ไม่ควรให้นายวีระ และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ เข้าสู่กระบวนการศาลของกัมพูชา โดยใช้มาตรการกดดันให้ปล่อยตัวทั้ง 2 คน โดยไม่มีเงื่อนไข
“ถือเป็นความผิดของรัฐบาลฝ่ายเดียว ที่ทำให้สถานการณ์มาถึงขณะนี้รัฐบาลในฐานะผู้รับผิดชอบโดยตรงต้องนำตัวทั้ง 2 คนออกมาโดยเร็วที่สุดอย่างไม่มีเงื่อนไข ตามที่นายอภิสิทธิ์ได้กล่าวไว้เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.53” นายปานเทพกล่าว
ด้าน นายเทพมนตรี ลิมปพยอม กรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย เปิดเผยว่า ทางคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทยได้มอบหมายให้ทีมวิชาการ เพื่อนำเอกสารแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 อีก 6 ระวาง ที่มีกองกำลังทหารดูแลอยู่ 3 หน่วย คือ กองกำลังสุรนารี กองกำลังบูรพา และกองกำลังจันทบุรี-ตราด ซึ่งมีรายงานมาถึงกระทรวงการต่างประเทศว่ามีการรุกล้ำของชาวบ้านและทหารกัมพูชาตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เพื่อเปิดเผยว่าตำบลและหมู่บ้านใดตลอดแนวชายแดนจะสุ่มเสี่ยงในการสูญเสียแก่ทางกัมพูชา หากมีการอ้างแผนที่ 1 ต่อ 200,000 พร้อม MOU 2543 ซึ่งขณะนี้เราได้แผนที่ทั้ง 6 ระวางมาแล้ว รวมทั้งยังมีข้อมูลระบุชัดว่าในพื้นที่แนวตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชาว่ามีแหล่งแร่ทองคำ และพันธุ์พืชหายากเป็นจำนวนมาก ซึ่งหากนายกฯยังยืนยันที่จะใช้ MOU 2543 อยู่ ก็จะทำให้ไทยต้องสูญเสียดินแดนและทรัพยากรอีกมหาศาล ดังนั้นจึงอยากฝากถามนายกฯว่าจะนำดินแดนเหล่านี้กลับคืนมาอย่างไร เพราะตอนที่นายอภิสิทธิ์เป็นผู้นำฝ่ายค้านก็บอกเองว่าพื้นที่ต่างๆ เหล่านี้เป็นของไทย