เมื่อทักษิณได้ประกาศยุทธศาสตร์แก้ว 3 ประการขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2553 โดยคาดหวังให้พลพรรคเสื้อแดงปฏิบัติการสงครามการเมืองรุนแรงกลางเมือง ตามรูปแบบของกลยุทธ์ปฏิวัติในเมือง หรืออาจเรียกว่า “ยุทธการพิฆาตรัฐกลางกรุง”
แก้ว 3 ประการที่ว่านั้น เป็นที่รู้กันในช่วงพฤษภาคมหฤโหด พ.ศ. 2553 หลังจากที่กองกำลังติดอาวุธของคนเสื้อแดงเข้าทำการยึดพื้นที่สี่แยกราชประสงค์ อันเป็นศูนย์กลางธุรกิจข้ามชาติ และห้างสินค้าเกรดเอ ที่มีบริเวณบริวารธุรกิจสินค้าเกรดบี และศูนย์สินค้าเสื้อผ้าส่งออกย่านประตูน้ำรายล้อม
กลุ่มคนเสื้อแดงที่เป็นมวลชนก็ปักหลักอยู่ที่ดินแดนยึดครองราชประสงค์ ขณะที่กองกำลังติดอาวุธพยายามที่จะขยายพื้นที่ออกไป เพื่อที่จะยึดถนนสีลม พระรามที่ 4 และถนนบรรทัดทอง หวังเป็นกรอบพื้นที่สี่เหลี่ยมใหญ่กลางกรุงให้ได้
มีการปะทะแย่งชิงพื้นที่ถนนสีลมกลายเป็นตำนานของคนบางรัก เมื่อพ่อค้าแม่ค้าต่างออกมาป้องกันพื้นที่ของตัวเอง และยินดีที่มีหน่วยทหารอยู่ด้วย แต่กระนั้นก็ตามมีแม่ค้าท่านหนึ่งหาเช้ากินค่ำเลี้ยงครอบครัว ต้องสังเวยแผนยุทธการพิฆาตรัฐกลางกรุง และบาดเจ็บพิการอีกหลายคน
การซุ่มยิงด้วยกระสุนระเบิดแบบต่างๆ เช่น M 67 เพื่อทำลายขวัญคนบางรักที่หากินบริเวณถนนสีลมตลอดเวลา ข่มขู่ด้วยการมีค่ายหอรบที่สร้างแบบ “คนเถื่อน” ใช้ลำไม้ไผ่ตัดเป็นปากฉลาม ยึดกันไว้ด้วยยางรถยนต์นับเป็นหมื่นเส้น รายรอบพื้นที่ยึดครอง
ปิดกั้นถนนปทุมวัน ทำให้ย่านการค้าของวัยรุ่นสยามสแควร์เป็นอัมพาต ห้างสยามดิสคัฟเวอรี ห้างสยามพารากอนกลายเป็นอาคารร้างชั่วคราว การค้าขายริมทางที่หาเช้ากินค่ำไม่มีโอกาสทำมาหากิน ร้านรวงในสยามสแควร์ต่างรอคอยว่าการประท้วงจะยุติลง
กองทัพแดงภายใต้การนำของหลายแกนนำ เช่น กลุ่ม เสธ.แดง ที่มีดีกรีความรุนแรงสูง พอๆ กันกับกลุ่มอริสมันต์ หรืออ้ายกี้ร์ กลุ่มรุนแรงขนาดกลาง เช่น กลุ่มจตุพร และกลุ่มณัฐวุฒิ แต่ก็ทำความเสียหายมหาศาล เช่น ซุ่มยิงทหาร นอกนั้นเป็นกลุ่มรุนแรงน้อย แต่มีอยู่ทั่วไป และทำงานอิสระตามโอกาส
ตั้งแต่มีนาคม พ.ศ. 2553 นั้นมาและเป็นครั้งแรกที่กรุงเทพมหานครต้องเผชิญและรับรู้ประสบการณ์ใหม่ คือ มีการวางระเบิด ปาระเบิด หรือยิงระเบิดอย่างต่อเนื่องทุกวันทั่วกรุง และทวีความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ กองกำลังเสื้อแดงของ เสธ.แดง ยึดสวนลุมพินีไว้เป็นที่มั่นดำเนินกลยุทธ์เพราะเป็นพื้นที่กว้าง ปีกถนนวิทยุ และถนนราชดำริทั้งสองด้านถูกปิดกั้นด้วยกองกำลังติดอาวุธที่เข้มแข็ง ทำให้ได้เปรียบเพราะได้เปิดพื้นที่การรบบริเวณถนนพระรามที่ 4 ถนนวิทยุชนกับแยกศาลาแดง เป็นบริเวณกว้าง ทั้งยังบังอาจบุกยึดโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สร้างความโกลาหลอลหม่านให้แก่คนป่วย และครอบครัวคนป่วยอย่างน่าสาปแช่ง
เกิดเป็นตำนานการก่อการร้ายกลางกรุง เพราะสมเด็จพระสังฆราช ก็ทรงได้รับความเดือดร้อนด้วย และเป็นเหตุให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นำเชิญเสด็จไปประทับรักษาพระองค์ที่โรงพยาบาลศิริราช อันเป็นกรณีที่ไม่ควรให้อภัย เพราะว่าแพทย์รักษาพระองค์จะต้องตามไปถวายการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช
กองทัพอยู่ในฐานะลำบากตั้งแต่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553 ที่ถูกล่อสู่ย่านสังหารสี่แยกคอกวัว ไม่สามารถดำเนินกลยุทธ์ทางการทหารในเมืองได้ ตำรวจไม่ให้ความร่วมมือเพราะขาดพลังร่วม เกิดตำรวจมะเขือเทศครึ่งค่อนกองบัญชาการ ทั้งๆ ที่มีสำนักงานกองบัญชาการห่างออกไปเพียง 100-200 เมตรเท่านั้น ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตำรวจอย่างสมบูรณ์ ไม่ทำหน้าที่จะปกป้องประชาชน แม้กระทั่งเป็นมวลชนเสื้อแดง ตำรวจก็สามารถที่จะเข้าไปรักษาความสงบเรียบร้อยภายในพื้นที่การประท้วงได้ แต่ละทิ้งหน้าที่ ยอมให้หน่วยพิทักษ์ รปภ.เสื้อแดง ยึดอำนาจตำรวจในพื้นที่ยึดครอง คนเสื้อแดงสามารถปิดกั้นการจราจร โดยเฉพาะแยกเพลินจิต จนห้างเซ็นทรัลชิดลมและเซ็นทรัลเวิลด์ต้องร้างคนซื้อ
มีการยิงกันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เข้มข้นบ้าง เบาบางบ้าง ตามจังหวะของการเมือง โดยมีการเจรจาระหว่างนักการเมืองพรรคเพื่อไทยที่ขอให้รัฐบาลลาออก แต่ประชาชนส่วนหนึ่งต่อต้าน จึงเกิดความสมดุลทางจิตวิทยามวลชน เกิดคนหลากสีประกาศยืนหยัดสู้การปฏิวัติ
หอการค้าต่างประเทศอดทนไม่ได้ กดดันผ่านนักธุรกิจไทยด้านต่างๆ ให้รัฐบาลจัดการอย่างใดอย่างหนึ่ง มิฉะนั้นแล้วนักธุรกิจข้ามชาติก็จะอพยพทุนออกจากประเทศไทยแบบถาวร เพราะธุรกิจข้ามชาติที่มีศูนย์อยู่ที่กรุงเทพฯ หยุดชะงักหมด ทั้งธุรกิจท้องถิ่น ธุรกิจภูมิภาค และธุรกิจข้ามทวีป
เหตุนี้เองทำให้รัฐบาลตัดสินใจขอพื้นที่คืน และตามเหตุการณ์สังหาร เสธ.แดง ซึ่งเชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หฤโหดสังหารทหารในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553 และสร้างรอยแค้นกับคนหลายสิบคนที่แย่งงบประมาณปฏิวัติที่ทักษิณ และพวก สนับสนุนเป็นเงินจำนวนมหาศาล
เหตุการณ์เหล่านี้ยาวมากกว่าหน้ากระดาษที่มีให้เขียน แต่ขอให้สาธารณชนได้รับรู้ไว้ว่า การเผา การระเบิด การยิงคนบริสุทธิ์ การข่มขู่ประชาชน และการยึดพื้นที่ เป็นยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของการปฏิวัติประชาชนที่หลีกเลี่ยงยาก เช่น เหตุเกิดขึ้นที่แคนาดาในปี ค.ศ. 1849 มีการประท้วงขั้นรุนแรง เมื่อคนแคนาเดียนต่อต้านกฎหมายภาษีที่อังกฤษเรียกเก็บจากสินค้าส่งออกไปขายสหรัฐฯ มีการเผารัฐสภา และประท้วงด้วยความรุนแรงอยู่หลายเดือน
หรือเหตุการณ์ปฏิวัติตุลาคมแดงในการปฏิวัติรัสเซียปี ค.ศ. 1917 ซึ่งมีการเผา การสังหารผู้บริสุทธิ์ เพื่อทำลายภาพลักษณ์ของทหารรัฐบาล ซึ่งทำผิดพลาดฆ่าประชาชนมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1905 หรือเหตุการณ์ในสงครามปลดปล่อยไอร์แลนด์ ซึ่งมีการสังหารผู้บริสุทธิ์ และการเผาเมือง จากทั้งฝ่ายทหารรัฐบาลอังกฤษ และฝ่าย IRA หรือกรณี อเล็กซานเดอร์ เบิร์กแมน อนาธิปไตยนิยม ชาวรัสเซีย แต่อพยพไปอยู่สหรัฐฯ ในปี ค.ศ. 1888 แล้วสร้างขบวนการต่อต้านนายทุน ด้วยการทำการวางระเบิดที่อาคารเบอร์เจอร์ ในกรุงนิวยอร์ก เมื่อปี ค.ศ. 1913 มีคนเสียชีวิต 100 กว่าคน และอเล็กซานเดอร์ เบิร์กแมน เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ชื่อว่า “พลังระเบิด” หรือ The Blast
ดังนั้น การเผากรุงเทพฯ ในช่วงสุดท้ายของสงครามปฏิวัติประชาชนของทักษิณ 2 เป็นแผนอยู่แล้ว เมื่อรู้ว่ารัฐบาลไม่อ่อนข้อ ทหารเอาจริง และนักธุรกิจต่างชาติเริ่มที่จะกดดันรัฐบาลอย่างรุนแรง จึงต้องสั่งผ่านแกนนำทั้ง 3 คน ทั้งอริสมันต์ จตุพร และณัฐวุฒิ ที่ต่างออกมาปลุกระดมชี้นำให้มีการเผาเมือง ซึ่งมีหลักฐานถูกบันทึกชัดเจนไม่ต้องตกแต่งบิดเบือนอะไรเลย ทั้งภาพและเสียง
แล้วเช่นนี้ใครเล่าที่เผาเมือง ใครเล่าที่เผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ใครเล่าที่เผาแล้วขโมยของมาวางขาย คนที่จะไปเผาอาคารต่างๆ ทั่วกรุงจะเป็นคนอื่นไม่ได้ในช่วงนั้น เพราะการรักษาความปลอดภัยของการ์ดคนเสื้อแดงเต็มอัตราศึก ยากที่คนนอกเหล่าเสื้อแดงจะเล็ดรอดเข้าไปได้
แก้ว 3 ประการที่ว่านั้น เป็นที่รู้กันในช่วงพฤษภาคมหฤโหด พ.ศ. 2553 หลังจากที่กองกำลังติดอาวุธของคนเสื้อแดงเข้าทำการยึดพื้นที่สี่แยกราชประสงค์ อันเป็นศูนย์กลางธุรกิจข้ามชาติ และห้างสินค้าเกรดเอ ที่มีบริเวณบริวารธุรกิจสินค้าเกรดบี และศูนย์สินค้าเสื้อผ้าส่งออกย่านประตูน้ำรายล้อม
กลุ่มคนเสื้อแดงที่เป็นมวลชนก็ปักหลักอยู่ที่ดินแดนยึดครองราชประสงค์ ขณะที่กองกำลังติดอาวุธพยายามที่จะขยายพื้นที่ออกไป เพื่อที่จะยึดถนนสีลม พระรามที่ 4 และถนนบรรทัดทอง หวังเป็นกรอบพื้นที่สี่เหลี่ยมใหญ่กลางกรุงให้ได้
มีการปะทะแย่งชิงพื้นที่ถนนสีลมกลายเป็นตำนานของคนบางรัก เมื่อพ่อค้าแม่ค้าต่างออกมาป้องกันพื้นที่ของตัวเอง และยินดีที่มีหน่วยทหารอยู่ด้วย แต่กระนั้นก็ตามมีแม่ค้าท่านหนึ่งหาเช้ากินค่ำเลี้ยงครอบครัว ต้องสังเวยแผนยุทธการพิฆาตรัฐกลางกรุง และบาดเจ็บพิการอีกหลายคน
การซุ่มยิงด้วยกระสุนระเบิดแบบต่างๆ เช่น M 67 เพื่อทำลายขวัญคนบางรักที่หากินบริเวณถนนสีลมตลอดเวลา ข่มขู่ด้วยการมีค่ายหอรบที่สร้างแบบ “คนเถื่อน” ใช้ลำไม้ไผ่ตัดเป็นปากฉลาม ยึดกันไว้ด้วยยางรถยนต์นับเป็นหมื่นเส้น รายรอบพื้นที่ยึดครอง
ปิดกั้นถนนปทุมวัน ทำให้ย่านการค้าของวัยรุ่นสยามสแควร์เป็นอัมพาต ห้างสยามดิสคัฟเวอรี ห้างสยามพารากอนกลายเป็นอาคารร้างชั่วคราว การค้าขายริมทางที่หาเช้ากินค่ำไม่มีโอกาสทำมาหากิน ร้านรวงในสยามสแควร์ต่างรอคอยว่าการประท้วงจะยุติลง
กองทัพแดงภายใต้การนำของหลายแกนนำ เช่น กลุ่ม เสธ.แดง ที่มีดีกรีความรุนแรงสูง พอๆ กันกับกลุ่มอริสมันต์ หรืออ้ายกี้ร์ กลุ่มรุนแรงขนาดกลาง เช่น กลุ่มจตุพร และกลุ่มณัฐวุฒิ แต่ก็ทำความเสียหายมหาศาล เช่น ซุ่มยิงทหาร นอกนั้นเป็นกลุ่มรุนแรงน้อย แต่มีอยู่ทั่วไป และทำงานอิสระตามโอกาส
ตั้งแต่มีนาคม พ.ศ. 2553 นั้นมาและเป็นครั้งแรกที่กรุงเทพมหานครต้องเผชิญและรับรู้ประสบการณ์ใหม่ คือ มีการวางระเบิด ปาระเบิด หรือยิงระเบิดอย่างต่อเนื่องทุกวันทั่วกรุง และทวีความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ กองกำลังเสื้อแดงของ เสธ.แดง ยึดสวนลุมพินีไว้เป็นที่มั่นดำเนินกลยุทธ์เพราะเป็นพื้นที่กว้าง ปีกถนนวิทยุ และถนนราชดำริทั้งสองด้านถูกปิดกั้นด้วยกองกำลังติดอาวุธที่เข้มแข็ง ทำให้ได้เปรียบเพราะได้เปิดพื้นที่การรบบริเวณถนนพระรามที่ 4 ถนนวิทยุชนกับแยกศาลาแดง เป็นบริเวณกว้าง ทั้งยังบังอาจบุกยึดโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สร้างความโกลาหลอลหม่านให้แก่คนป่วย และครอบครัวคนป่วยอย่างน่าสาปแช่ง
เกิดเป็นตำนานการก่อการร้ายกลางกรุง เพราะสมเด็จพระสังฆราช ก็ทรงได้รับความเดือดร้อนด้วย และเป็นเหตุให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นำเชิญเสด็จไปประทับรักษาพระองค์ที่โรงพยาบาลศิริราช อันเป็นกรณีที่ไม่ควรให้อภัย เพราะว่าแพทย์รักษาพระองค์จะต้องตามไปถวายการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช
กองทัพอยู่ในฐานะลำบากตั้งแต่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553 ที่ถูกล่อสู่ย่านสังหารสี่แยกคอกวัว ไม่สามารถดำเนินกลยุทธ์ทางการทหารในเมืองได้ ตำรวจไม่ให้ความร่วมมือเพราะขาดพลังร่วม เกิดตำรวจมะเขือเทศครึ่งค่อนกองบัญชาการ ทั้งๆ ที่มีสำนักงานกองบัญชาการห่างออกไปเพียง 100-200 เมตรเท่านั้น ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตำรวจอย่างสมบูรณ์ ไม่ทำหน้าที่จะปกป้องประชาชน แม้กระทั่งเป็นมวลชนเสื้อแดง ตำรวจก็สามารถที่จะเข้าไปรักษาความสงบเรียบร้อยภายในพื้นที่การประท้วงได้ แต่ละทิ้งหน้าที่ ยอมให้หน่วยพิทักษ์ รปภ.เสื้อแดง ยึดอำนาจตำรวจในพื้นที่ยึดครอง คนเสื้อแดงสามารถปิดกั้นการจราจร โดยเฉพาะแยกเพลินจิต จนห้างเซ็นทรัลชิดลมและเซ็นทรัลเวิลด์ต้องร้างคนซื้อ
มีการยิงกันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เข้มข้นบ้าง เบาบางบ้าง ตามจังหวะของการเมือง โดยมีการเจรจาระหว่างนักการเมืองพรรคเพื่อไทยที่ขอให้รัฐบาลลาออก แต่ประชาชนส่วนหนึ่งต่อต้าน จึงเกิดความสมดุลทางจิตวิทยามวลชน เกิดคนหลากสีประกาศยืนหยัดสู้การปฏิวัติ
หอการค้าต่างประเทศอดทนไม่ได้ กดดันผ่านนักธุรกิจไทยด้านต่างๆ ให้รัฐบาลจัดการอย่างใดอย่างหนึ่ง มิฉะนั้นแล้วนักธุรกิจข้ามชาติก็จะอพยพทุนออกจากประเทศไทยแบบถาวร เพราะธุรกิจข้ามชาติที่มีศูนย์อยู่ที่กรุงเทพฯ หยุดชะงักหมด ทั้งธุรกิจท้องถิ่น ธุรกิจภูมิภาค และธุรกิจข้ามทวีป
เหตุนี้เองทำให้รัฐบาลตัดสินใจขอพื้นที่คืน และตามเหตุการณ์สังหาร เสธ.แดง ซึ่งเชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หฤโหดสังหารทหารในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553 และสร้างรอยแค้นกับคนหลายสิบคนที่แย่งงบประมาณปฏิวัติที่ทักษิณ และพวก สนับสนุนเป็นเงินจำนวนมหาศาล
เหตุการณ์เหล่านี้ยาวมากกว่าหน้ากระดาษที่มีให้เขียน แต่ขอให้สาธารณชนได้รับรู้ไว้ว่า การเผา การระเบิด การยิงคนบริสุทธิ์ การข่มขู่ประชาชน และการยึดพื้นที่ เป็นยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของการปฏิวัติประชาชนที่หลีกเลี่ยงยาก เช่น เหตุเกิดขึ้นที่แคนาดาในปี ค.ศ. 1849 มีการประท้วงขั้นรุนแรง เมื่อคนแคนาเดียนต่อต้านกฎหมายภาษีที่อังกฤษเรียกเก็บจากสินค้าส่งออกไปขายสหรัฐฯ มีการเผารัฐสภา และประท้วงด้วยความรุนแรงอยู่หลายเดือน
หรือเหตุการณ์ปฏิวัติตุลาคมแดงในการปฏิวัติรัสเซียปี ค.ศ. 1917 ซึ่งมีการเผา การสังหารผู้บริสุทธิ์ เพื่อทำลายภาพลักษณ์ของทหารรัฐบาล ซึ่งทำผิดพลาดฆ่าประชาชนมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1905 หรือเหตุการณ์ในสงครามปลดปล่อยไอร์แลนด์ ซึ่งมีการสังหารผู้บริสุทธิ์ และการเผาเมือง จากทั้งฝ่ายทหารรัฐบาลอังกฤษ และฝ่าย IRA หรือกรณี อเล็กซานเดอร์ เบิร์กแมน อนาธิปไตยนิยม ชาวรัสเซีย แต่อพยพไปอยู่สหรัฐฯ ในปี ค.ศ. 1888 แล้วสร้างขบวนการต่อต้านนายทุน ด้วยการทำการวางระเบิดที่อาคารเบอร์เจอร์ ในกรุงนิวยอร์ก เมื่อปี ค.ศ. 1913 มีคนเสียชีวิต 100 กว่าคน และอเล็กซานเดอร์ เบิร์กแมน เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ชื่อว่า “พลังระเบิด” หรือ The Blast
ดังนั้น การเผากรุงเทพฯ ในช่วงสุดท้ายของสงครามปฏิวัติประชาชนของทักษิณ 2 เป็นแผนอยู่แล้ว เมื่อรู้ว่ารัฐบาลไม่อ่อนข้อ ทหารเอาจริง และนักธุรกิจต่างชาติเริ่มที่จะกดดันรัฐบาลอย่างรุนแรง จึงต้องสั่งผ่านแกนนำทั้ง 3 คน ทั้งอริสมันต์ จตุพร และณัฐวุฒิ ที่ต่างออกมาปลุกระดมชี้นำให้มีการเผาเมือง ซึ่งมีหลักฐานถูกบันทึกชัดเจนไม่ต้องตกแต่งบิดเบือนอะไรเลย ทั้งภาพและเสียง
แล้วเช่นนี้ใครเล่าที่เผาเมือง ใครเล่าที่เผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ใครเล่าที่เผาแล้วขโมยของมาวางขาย คนที่จะไปเผาอาคารต่างๆ ทั่วกรุงจะเป็นคนอื่นไม่ได้ในช่วงนั้น เพราะการรักษาความปลอดภัยของการ์ดคนเสื้อแดงเต็มอัตราศึก ยากที่คนนอกเหล่าเสื้อแดงจะเล็ดรอดเข้าไปได้