สเปนเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีการสู้รบกันอย่างนองเลือดในช่วงปี ค.ศ.1936 - 1939 และเป็นสงครามกลางเมืองที่มีต่างชาติแทรกแซงเป็นพหุภาคีทั้งสองฝ่าย สาเหตุเกิดจากความคิดเห็นขัดแย้งกันอย่างรุนแรงในลัทธิการปกครองและวิธีการปกครอง โดยมีเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเงื่อนไขสร้างกระแสการเมือง ระหว่างลัทธิอนุรักษ์ชาติ กับนิยมลัทธิสังคมนิยมและลัทธิคอมมิวนิสต์ซึ่งกำลังเบ่งบานเฟื่องฟูเพราะพลังกองทัพแดงของประธานาธิบดีสตาลิน ที่แผ่ขยายไปทั่วยุโรปตะวันออก รวมทั้งมีการสร้างสมกำลังทหารของกองทัพแดง จนฮิตเลอร์ต้องสร้างกลลวงทำสัญญาไม่รุกรานกัน
สงครามกลางเมืองสเปนมองดูเป็นเรื่องของอุดมการณ์สังคมนิยมคอมมิวนิสต์และอนาธิปไตย เรียกกันว่าฝ่ายสาธารณรัฐ ซึ่งมีชาติประชาธิปไตยตะวันตก อดีตโซเวียตรัสเซียรวมทั้งกลุ่มเสรีนิยมอังกฤษและอเมริกันหนุนหลัง เช่น จอร์จ ออร์เวล นักเขียนอังกฤษและเออร์เนส เฮมิงเวย์ กับฝ่ายอนุรักษนิยมและกลุ่มศาสนาคาทอลิคซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนาซีเยอรมันและอิตาลีเป็นหลัก
เป็นเรื่องของหุ่นประชาธิปไตยและเผด็จการ แต่เมื่อศึกษาจริงๆ แล้ว ต่างเป็นกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองยุโรป และนายทุนที่มีความซับซ้อนอย่างเกินพรรณนา อดีตโซเวียตต้องการแผ่ขยายลัทธิคอมมิวนิสต์และต่อต้านนายทุนและศักดินาดั้งเดิมของสเปน ฝ่ายเสรีนิยมต้องการต่อต้านเผด็จการทหารและลัทธิทหารนิยมตามแบบฉบับของนาซีเยอรมันโดยฮิตเลอร์ และเผด็จการฟาสซิสต์ของมุโสลินี
แต่นายพลฟรังโกมองว่าทุกฝ่ายมีวาระผลประโยชน์ซ่อนเร้น ด้วยความรักชาติและต้องการความเป็นปึกแผ่นของสเปน ตามแบบฉบับของสเปน จึงกระทำการรัฐประหารซ้อนรัฐประหาร แต่ไม่ชนะเบ็ดเสร็จ จึงกลายเป็นสงครามกลางเมือง ที่กลายเป็นสนามทดลองอาวุธสงครามของฮิตเลอร์เพื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นสมรภูมิที่สร้างลัทธิเสรีนิยมกึ่งอนาธิปไตยแบบรุนแรง และเป็นแหล่งเพาะพันธุ์อนาธิปไตยนิยมของยุโรป
รบกัน 3 ปี นายพลฟรังโกชนะ และใช้ระบบนิติรัฐและนิติธรรมบริหารปกครองประเทศ ควบคุมมิให้มีการทุจริตคอร์รัปชันเอาเปรียบประชาชน จัดระเบียบการเก็บภาษีอย่างเป็นธรรม ส่งเสริมการศึกษา และดำรงวัฒนธรรมสเปนอย่างแนบแน่น นายพลฟรังโกเองก็มีพฤติกรรมเป็นผู้นำที่ดีมีเหตุผล และไม่คดโกง หรือใช้อำนาจรัฐรังแกศัตรู แต่จะปล่อยให้ศัตรูดำเนินการภายใต้กฎหมายที่เน้นความเป็นชาตินิยม ปลีกตัวออกจากประชาคมยุโรป และประกาศตัวเป็นกลางในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งๆ ที่ฮิตเลอร์และมุสโสลินีให้การสนับสนุน ทำให้เป็นการยุติความขัดแย้งด้วยกำลังอาวุธ เพราะหากสเปนเข้าสงครามก็จะเป็นอักษะกับเยอรมันและอิตาลี ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อความเป็นชาตินิยม หากสเปนจะเต็มไปด้วยทหารเยอรมัน
แนวคิดชาตินิยมเห็นแก่ชาติบ้านเมือง และการสร้างชาติให้เป็นนิติรัฐ และนิติธรรม ขจัดช่องว่างสังคม การทุจริตคอร์รัปชัน และไม่ใช้อำนาจรัฐรังแกประชาชน ทำให้สเปนเข้าสู่ภาวะปกติได้โดยไม่ต้องมีนโยบายปรองดอง แต่นายพลฟรังโกให้เป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์เอง เมื่อพิสูจน์ได้ว่าผู้ปกครองประเทศมีความยุติธรรม ซื่อสัตย์สุจริตและมีความจริงใจในการสร้างชาติเพื่อส่วนรวมแล้วเงื่อนไขความขัดแย้งก็สลายไปเอง
นายพลฟรังโกใช้เวลาเกือบ 3 ทศวรรษ ในการกอบกู้สภาพจิตใจของคนสเปน ที่ต้องฆ่ากันเอง ด้วยการออกกฎหมายให้ความเป็นธรรมกับคนทุกฝ่าย ลดช่องว่างของสังคม และให้ความรู้แก่เยาวชนอย่างเปิดเผย แต่ยังคงความเป็นสเปน กฎหมายแต่ละฉบับของนายพลฟรังโกนั้น เป็นที่ยอมรับของปัญญาชน กวี นักประพันธ์ และกลุ่มศิลปิน ซึ่งมีจิตใจอ่อนไหวมากอยู่แล้ว เมื่อกลุ่มอิสระเหล่านี้ยอมรับ ความปรองดองก็เกิดขึ้น ทำให้นายพลฟรังโก สามารถสถาปนาระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญขึ้นได้อีก
สำหรับประเทศไทยนั้น ที่มีคนออกมาพูดถึงคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 อันเป็นกุญแจสำคัญในการยุติการสู้รบระหว่างกองทัพรัฐบาล กับกองกำลังปลดแอกประชาชนชาวไทย พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ด้วยพูดถึงสาเหตุของการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเรื่องมหภาคของคนทั้งชาติในเรื่องความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ประชาชนมีส่วนร่วมกับการเมืองน้อยมาก อำนาจเศรษฐกิจอยู่ในอาณัติของคนกลุ่มน้อย ที่ครองแกนเศรษฐกิจของชาติไว้ และสนใจแต่ผลประโยชน์ส่วนตนและพวก รวมทั้งข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่เอารัดเอาเปรียบ ข่มเหงรังแกประชาชนผู้ด้อยโอกาส และไม่มีพลังต่อสู้ได้ทั้งทางนิติธรรมและรัฐศาสตร์
แนวคิดเกิดจากกลุ่มทหารประชาธิปไตยที่ไม่ชอบความไม่เป็นธรรม และการทุจริตของข้าราชการทุกระดับ นายทุน และนักการเมือง แต่ที่เกาะกินใจมากที่สุด คือ ข้าราชการรังแกประชาชนอย่างเลือดเย็น ทำให้เกิดความเกลียดชังคนของรัฐบาลอย่างรุนแรง และง่ายต่อการจับอาวุธต่อสู้กับข้าราชการและรัฐบาล ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเกณฑ์พลพรรคจากทุกสาขาความคิดและทุกเพศได้อย่างง่ายดาย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เมื่อครั้งยังเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 ยศพลตรี เห็นพฤติกรรมชั่วของข้าราชการชั้นเลวมาตลอด จึงรวบรวมทหารประชาธิปไตยเป็นคณะทำงาน เช่น พล.ต.ปฐม เสริมสิน พ.อ.หาญ ลีลานนท์ พ.อ.เลิศ กนิษฐะนาคะ ยศขณะนั้น
ประกอบกับ พล.อ.สายหยุด เกิดผล มีแนวคิดเชิงยุทธศาสตร์ประชาธิปไตยอยู่แล้ว และให้การสนับสนุน พล.ท.สัณห์ จิตรปฏิมา แม่ทัพภาคที่ 4 ก็เป็นแนวร่วมกันทางการเมือง ส่วน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้เสนอให้ก่อตั้งหน่วยทหารพราน ด้วยยุทธวิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง และใกล้ชิดกับนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร อดีตกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แต่แปรพักตร์ออกมาสู้ตามระบอบประชาธิปไตยที่ถูกกฎหมาย รวมทั้งนายผิน บัวอ่อน ที่เชิญมาออกรายการวิทยุ
ในที่สุดคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 ก็สามารถประกาศใช้บังคับในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2523 เป็นเครื่องมือระงับเหตุความชั่วร้ายของสังคม ทั้งนายทุน นักการเมือง และข้าราชการทหาร ตำรวจ โดยเฉพาะข้าราชการพลเรือนที่ต้องขจัดปัดเป่าทุกข์ของประชาชนทุกด้าน ในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ คำสั่งนี้เป็นคำสั่งที่มุ่งที่จะขจัดเงื่อนไขในใจคนไทยเป็นหลัก
ดังนั้น คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 นั้น เป็นเรื่องของสังคมมหภาค มิได้มุ่งเน้นในเรื่องความรักศรัทธาเพียงคนคนเดียว ที่มีจิตสำนึกแบบนายทุนสามานย์ เพราะขายหุ้นไม่ยอมเสียภาษี หลีกเลี่ยงการเสียภาษี ใช้อำนาจรัฐโกงเอาเปรียบเพื่อประโยชน์ของตนเอง
เนื้อแท้ของคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 นั้น ขจัดความสามานย์ออกจากวัฏจักรร้ายในระบบราชการ และยังใช้เป็นเครื่องมือในการนิรโทษกรรมให้แก่นักศึกษา ประชาชน และผู้บริสุทธิ์ ที่ต้องเข้าป่าผสมโรงกับพรรคคอมมิวนิสต์ จับอาวุธล้างแค้นข้าราชการชั่ว แต่ไม่ได้เป็นผู้มีศรัทธาในระบอบคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะในซีกอนาธิปไตย ซึ่งต้องการลบล้างระบอบการปกครองของชาติแบบสิ้นเชิง ซึ่งเราได้เห็นจากอดีตอันเลวร้าย ขมขื่นของประชาชนชาวเขมร ที่ถูกเขมรแดงสังหารไป 3-4 ล้านคน ซึ่งเรียกกันว่า “ทุ่งสังหาร”
ความปรองดองคงไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ เมื่อฝ่ายที่มุ่งหวังเพื่อทักษิณเพียงคนเดียว โดยไม่คำนึงถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยคนเสื้อแดงตั้งแต่เดือนเมษายน 2551-2553 ซึ่งมีการใช้อาวุธและความรุนแรง สร้างความปั่นป่วนตามทฤษฎีเผาเมืองของซีกอนาธิปไตยของพรรคบอลเซวิค ในการปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1917 เมื่อกรุงมอสโกถูกเผาโดยกลุ่มวัยรุ่นอนาธิปไตย แต่ประโยชน์เกิดแก่เลนินจึงเงียบเสีย แต่เมื่อเลนินได้อำนาจรัฐ บุคคลเหล่านั้นก็ถูกจับมาลงโทษทางอาญา โดยเลนินอ้างว่าไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ
กระบวนการยุติธรรมที่สังคมไทยได้เปิดโอกาสให้ทักษิณต่อสู้คดี แม้ว่าข้าราชการหลายคนในกรมอัยการจะเป็นสีแดง และช่วยเหลือไม่ทำสำนวนฟ้องศาล จึงต้องใช้ คตส.ให้มีอำนาจตามกฎหมาย ทำหน้าที่เป็นอัยการทำสำนวนส่งฟ้องศาลอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งคณะตุลาการอ่านสำนวนฟ้องและสำนวนค้านอย่างละเอียดถี่ถ้วนทุกมาตรากฎหมายที่มีใช้ในประเทศไทย ใช้เวลาทั้งวันเป็นคดีประวัติศาสตร์ของชาติ และสังคมโลกเฝ้าดูอยู่อย่างใกล้ชิด เพราะว่านักล็อบบี้ยิสต์ของทักษิณ เตรียมที่จะถล่มระบอบศาลยุติธรรมของไทย หากพวกเขาพบว่าเป็นการกลั่นแกล้ง แต่ทำไม่ได้ เพราะว่าขบวนการพิพากษาทักษิณนั้นบริสุทธิ์ยุติธรรมที่สุดในการพิพากษานักการเมืองทุจริต
การโฟนอินของทักษิณ และโฆษณาชวนเชื่อว่าได้ติดต่อกับผู้พิพากษาที่เกี่ยวข้องกับคดีแดงเผาบ้านเผาเมือง เผาศาลากลางจังหวัด ว่าจะมีการลดหย่อนผ่อนโทษ จนถึงไม่เอาโทษผู้กระทำผิดนี้ เป็นการปรองดองได้หรือไม่ เพราะว่าคนเผาบ้านเผาเมืองมีเหตุผลอะไรทำเช่นนั้น เพราะอาคารสถานที่สร้างโดยเงินภาษีของทุกคนในชาติ
ส่วนการพิจารณาคุณสมบัติของ ส.ส.ร.นั้น ปราศจากแนวคิดบริสุทธิ์ เพียงแต่มุ่งหวังให้พวกตนได้มีโอกาสเป็น ส.ส.ร.ให้มากที่สุด ซึ่งนายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย เป็นประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ไม่สามารถตั้งกรอบคุณธรรมของ ส.ส.ร.ได้เลย ในเรื่องวุฒิภาวะ ซึ่งสัมพันธ์กับอายุ วุฒิการศึกษา ซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับจิตสำนึกด้านมโนธรรม และความรอบรู้ถึงหลักรัฐศาสตร์ นิติรัฐ และนิติธรรมความต้องการของคนในชาติทั้งหมดมิใช่แค่คนเพียงหยิบมือเดียว ประวัติต้องขาวสะอาด และพฤติกรรมจะต้องเป็นคนที่ไม่มีคดีความติดตัว
ปรองดองจึงเป็นเพียงกับดักสังคมไทยให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลว่า “สังคมกำลังแตกแยกขั้นรุนแรง ต้องปรองดองกัน ให้อภัยกัน” แต่แท้จริงแล้วผู้สร้างความแตกแยกคือตัวทักษิณเอง และคนเสื้อแดงแต่ต้องการปลดแอกความผิดของทักษิณเท่านั้น
สงครามกลางเมืองสเปนมองดูเป็นเรื่องของอุดมการณ์สังคมนิยมคอมมิวนิสต์และอนาธิปไตย เรียกกันว่าฝ่ายสาธารณรัฐ ซึ่งมีชาติประชาธิปไตยตะวันตก อดีตโซเวียตรัสเซียรวมทั้งกลุ่มเสรีนิยมอังกฤษและอเมริกันหนุนหลัง เช่น จอร์จ ออร์เวล นักเขียนอังกฤษและเออร์เนส เฮมิงเวย์ กับฝ่ายอนุรักษนิยมและกลุ่มศาสนาคาทอลิคซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนาซีเยอรมันและอิตาลีเป็นหลัก
เป็นเรื่องของหุ่นประชาธิปไตยและเผด็จการ แต่เมื่อศึกษาจริงๆ แล้ว ต่างเป็นกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองยุโรป และนายทุนที่มีความซับซ้อนอย่างเกินพรรณนา อดีตโซเวียตต้องการแผ่ขยายลัทธิคอมมิวนิสต์และต่อต้านนายทุนและศักดินาดั้งเดิมของสเปน ฝ่ายเสรีนิยมต้องการต่อต้านเผด็จการทหารและลัทธิทหารนิยมตามแบบฉบับของนาซีเยอรมันโดยฮิตเลอร์ และเผด็จการฟาสซิสต์ของมุโสลินี
แต่นายพลฟรังโกมองว่าทุกฝ่ายมีวาระผลประโยชน์ซ่อนเร้น ด้วยความรักชาติและต้องการความเป็นปึกแผ่นของสเปน ตามแบบฉบับของสเปน จึงกระทำการรัฐประหารซ้อนรัฐประหาร แต่ไม่ชนะเบ็ดเสร็จ จึงกลายเป็นสงครามกลางเมือง ที่กลายเป็นสนามทดลองอาวุธสงครามของฮิตเลอร์เพื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นสมรภูมิที่สร้างลัทธิเสรีนิยมกึ่งอนาธิปไตยแบบรุนแรง และเป็นแหล่งเพาะพันธุ์อนาธิปไตยนิยมของยุโรป
รบกัน 3 ปี นายพลฟรังโกชนะ และใช้ระบบนิติรัฐและนิติธรรมบริหารปกครองประเทศ ควบคุมมิให้มีการทุจริตคอร์รัปชันเอาเปรียบประชาชน จัดระเบียบการเก็บภาษีอย่างเป็นธรรม ส่งเสริมการศึกษา และดำรงวัฒนธรรมสเปนอย่างแนบแน่น นายพลฟรังโกเองก็มีพฤติกรรมเป็นผู้นำที่ดีมีเหตุผล และไม่คดโกง หรือใช้อำนาจรัฐรังแกศัตรู แต่จะปล่อยให้ศัตรูดำเนินการภายใต้กฎหมายที่เน้นความเป็นชาตินิยม ปลีกตัวออกจากประชาคมยุโรป และประกาศตัวเป็นกลางในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งๆ ที่ฮิตเลอร์และมุสโสลินีให้การสนับสนุน ทำให้เป็นการยุติความขัดแย้งด้วยกำลังอาวุธ เพราะหากสเปนเข้าสงครามก็จะเป็นอักษะกับเยอรมันและอิตาลี ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อความเป็นชาตินิยม หากสเปนจะเต็มไปด้วยทหารเยอรมัน
แนวคิดชาตินิยมเห็นแก่ชาติบ้านเมือง และการสร้างชาติให้เป็นนิติรัฐ และนิติธรรม ขจัดช่องว่างสังคม การทุจริตคอร์รัปชัน และไม่ใช้อำนาจรัฐรังแกประชาชน ทำให้สเปนเข้าสู่ภาวะปกติได้โดยไม่ต้องมีนโยบายปรองดอง แต่นายพลฟรังโกให้เป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์เอง เมื่อพิสูจน์ได้ว่าผู้ปกครองประเทศมีความยุติธรรม ซื่อสัตย์สุจริตและมีความจริงใจในการสร้างชาติเพื่อส่วนรวมแล้วเงื่อนไขความขัดแย้งก็สลายไปเอง
นายพลฟรังโกใช้เวลาเกือบ 3 ทศวรรษ ในการกอบกู้สภาพจิตใจของคนสเปน ที่ต้องฆ่ากันเอง ด้วยการออกกฎหมายให้ความเป็นธรรมกับคนทุกฝ่าย ลดช่องว่างของสังคม และให้ความรู้แก่เยาวชนอย่างเปิดเผย แต่ยังคงความเป็นสเปน กฎหมายแต่ละฉบับของนายพลฟรังโกนั้น เป็นที่ยอมรับของปัญญาชน กวี นักประพันธ์ และกลุ่มศิลปิน ซึ่งมีจิตใจอ่อนไหวมากอยู่แล้ว เมื่อกลุ่มอิสระเหล่านี้ยอมรับ ความปรองดองก็เกิดขึ้น ทำให้นายพลฟรังโก สามารถสถาปนาระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญขึ้นได้อีก
สำหรับประเทศไทยนั้น ที่มีคนออกมาพูดถึงคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 อันเป็นกุญแจสำคัญในการยุติการสู้รบระหว่างกองทัพรัฐบาล กับกองกำลังปลดแอกประชาชนชาวไทย พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ด้วยพูดถึงสาเหตุของการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเรื่องมหภาคของคนทั้งชาติในเรื่องความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ประชาชนมีส่วนร่วมกับการเมืองน้อยมาก อำนาจเศรษฐกิจอยู่ในอาณัติของคนกลุ่มน้อย ที่ครองแกนเศรษฐกิจของชาติไว้ และสนใจแต่ผลประโยชน์ส่วนตนและพวก รวมทั้งข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่เอารัดเอาเปรียบ ข่มเหงรังแกประชาชนผู้ด้อยโอกาส และไม่มีพลังต่อสู้ได้ทั้งทางนิติธรรมและรัฐศาสตร์
แนวคิดเกิดจากกลุ่มทหารประชาธิปไตยที่ไม่ชอบความไม่เป็นธรรม และการทุจริตของข้าราชการทุกระดับ นายทุน และนักการเมือง แต่ที่เกาะกินใจมากที่สุด คือ ข้าราชการรังแกประชาชนอย่างเลือดเย็น ทำให้เกิดความเกลียดชังคนของรัฐบาลอย่างรุนแรง และง่ายต่อการจับอาวุธต่อสู้กับข้าราชการและรัฐบาล ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเกณฑ์พลพรรคจากทุกสาขาความคิดและทุกเพศได้อย่างง่ายดาย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เมื่อครั้งยังเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 ยศพลตรี เห็นพฤติกรรมชั่วของข้าราชการชั้นเลวมาตลอด จึงรวบรวมทหารประชาธิปไตยเป็นคณะทำงาน เช่น พล.ต.ปฐม เสริมสิน พ.อ.หาญ ลีลานนท์ พ.อ.เลิศ กนิษฐะนาคะ ยศขณะนั้น
ประกอบกับ พล.อ.สายหยุด เกิดผล มีแนวคิดเชิงยุทธศาสตร์ประชาธิปไตยอยู่แล้ว และให้การสนับสนุน พล.ท.สัณห์ จิตรปฏิมา แม่ทัพภาคที่ 4 ก็เป็นแนวร่วมกันทางการเมือง ส่วน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้เสนอให้ก่อตั้งหน่วยทหารพราน ด้วยยุทธวิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง และใกล้ชิดกับนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร อดีตกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แต่แปรพักตร์ออกมาสู้ตามระบอบประชาธิปไตยที่ถูกกฎหมาย รวมทั้งนายผิน บัวอ่อน ที่เชิญมาออกรายการวิทยุ
ในที่สุดคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 ก็สามารถประกาศใช้บังคับในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2523 เป็นเครื่องมือระงับเหตุความชั่วร้ายของสังคม ทั้งนายทุน นักการเมือง และข้าราชการทหาร ตำรวจ โดยเฉพาะข้าราชการพลเรือนที่ต้องขจัดปัดเป่าทุกข์ของประชาชนทุกด้าน ในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ คำสั่งนี้เป็นคำสั่งที่มุ่งที่จะขจัดเงื่อนไขในใจคนไทยเป็นหลัก
ดังนั้น คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 นั้น เป็นเรื่องของสังคมมหภาค มิได้มุ่งเน้นในเรื่องความรักศรัทธาเพียงคนคนเดียว ที่มีจิตสำนึกแบบนายทุนสามานย์ เพราะขายหุ้นไม่ยอมเสียภาษี หลีกเลี่ยงการเสียภาษี ใช้อำนาจรัฐโกงเอาเปรียบเพื่อประโยชน์ของตนเอง
เนื้อแท้ของคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 นั้น ขจัดความสามานย์ออกจากวัฏจักรร้ายในระบบราชการ และยังใช้เป็นเครื่องมือในการนิรโทษกรรมให้แก่นักศึกษา ประชาชน และผู้บริสุทธิ์ ที่ต้องเข้าป่าผสมโรงกับพรรคคอมมิวนิสต์ จับอาวุธล้างแค้นข้าราชการชั่ว แต่ไม่ได้เป็นผู้มีศรัทธาในระบอบคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะในซีกอนาธิปไตย ซึ่งต้องการลบล้างระบอบการปกครองของชาติแบบสิ้นเชิง ซึ่งเราได้เห็นจากอดีตอันเลวร้าย ขมขื่นของประชาชนชาวเขมร ที่ถูกเขมรแดงสังหารไป 3-4 ล้านคน ซึ่งเรียกกันว่า “ทุ่งสังหาร”
ความปรองดองคงไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ เมื่อฝ่ายที่มุ่งหวังเพื่อทักษิณเพียงคนเดียว โดยไม่คำนึงถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยคนเสื้อแดงตั้งแต่เดือนเมษายน 2551-2553 ซึ่งมีการใช้อาวุธและความรุนแรง สร้างความปั่นป่วนตามทฤษฎีเผาเมืองของซีกอนาธิปไตยของพรรคบอลเซวิค ในการปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1917 เมื่อกรุงมอสโกถูกเผาโดยกลุ่มวัยรุ่นอนาธิปไตย แต่ประโยชน์เกิดแก่เลนินจึงเงียบเสีย แต่เมื่อเลนินได้อำนาจรัฐ บุคคลเหล่านั้นก็ถูกจับมาลงโทษทางอาญา โดยเลนินอ้างว่าไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ
กระบวนการยุติธรรมที่สังคมไทยได้เปิดโอกาสให้ทักษิณต่อสู้คดี แม้ว่าข้าราชการหลายคนในกรมอัยการจะเป็นสีแดง และช่วยเหลือไม่ทำสำนวนฟ้องศาล จึงต้องใช้ คตส.ให้มีอำนาจตามกฎหมาย ทำหน้าที่เป็นอัยการทำสำนวนส่งฟ้องศาลอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งคณะตุลาการอ่านสำนวนฟ้องและสำนวนค้านอย่างละเอียดถี่ถ้วนทุกมาตรากฎหมายที่มีใช้ในประเทศไทย ใช้เวลาทั้งวันเป็นคดีประวัติศาสตร์ของชาติ และสังคมโลกเฝ้าดูอยู่อย่างใกล้ชิด เพราะว่านักล็อบบี้ยิสต์ของทักษิณ เตรียมที่จะถล่มระบอบศาลยุติธรรมของไทย หากพวกเขาพบว่าเป็นการกลั่นแกล้ง แต่ทำไม่ได้ เพราะว่าขบวนการพิพากษาทักษิณนั้นบริสุทธิ์ยุติธรรมที่สุดในการพิพากษานักการเมืองทุจริต
การโฟนอินของทักษิณ และโฆษณาชวนเชื่อว่าได้ติดต่อกับผู้พิพากษาที่เกี่ยวข้องกับคดีแดงเผาบ้านเผาเมือง เผาศาลากลางจังหวัด ว่าจะมีการลดหย่อนผ่อนโทษ จนถึงไม่เอาโทษผู้กระทำผิดนี้ เป็นการปรองดองได้หรือไม่ เพราะว่าคนเผาบ้านเผาเมืองมีเหตุผลอะไรทำเช่นนั้น เพราะอาคารสถานที่สร้างโดยเงินภาษีของทุกคนในชาติ
ส่วนการพิจารณาคุณสมบัติของ ส.ส.ร.นั้น ปราศจากแนวคิดบริสุทธิ์ เพียงแต่มุ่งหวังให้พวกตนได้มีโอกาสเป็น ส.ส.ร.ให้มากที่สุด ซึ่งนายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย เป็นประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ไม่สามารถตั้งกรอบคุณธรรมของ ส.ส.ร.ได้เลย ในเรื่องวุฒิภาวะ ซึ่งสัมพันธ์กับอายุ วุฒิการศึกษา ซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับจิตสำนึกด้านมโนธรรม และความรอบรู้ถึงหลักรัฐศาสตร์ นิติรัฐ และนิติธรรมความต้องการของคนในชาติทั้งหมดมิใช่แค่คนเพียงหยิบมือเดียว ประวัติต้องขาวสะอาด และพฤติกรรมจะต้องเป็นคนที่ไม่มีคดีความติดตัว
ปรองดองจึงเป็นเพียงกับดักสังคมไทยให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลว่า “สังคมกำลังแตกแยกขั้นรุนแรง ต้องปรองดองกัน ให้อภัยกัน” แต่แท้จริงแล้วผู้สร้างความแตกแยกคือตัวทักษิณเอง และคนเสื้อแดงแต่ต้องการปลดแอกความผิดของทักษิณเท่านั้น