สถานการณ์ความขัดแย้ง และการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างภาคประชาชนกับฝ่ายนักการเมือง ที่นับวันจะแหลมคมยิ่งขึ้นอยู่ในขณะนี้ ทำให้หวนคิดถึงการเมืองในประเทศแอฟริกาใต้ ก่อนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดสถานการณ์ความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างกลุ่มคนผิวสีซึ่งเป็นพลเมืองหลักเกือบ 80% ของประเทศ กับฝ่ายผู้ปกครองคนผิวขาวที่ถืออำนาจครอบงำมายาวนาน ด้วยนโยบายแบ่งแยกสีผิว กดขี่เอารัดเอาเปรียบคนผิวสีซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ดั้งเดิมอย่างไม่เป็นธรรม
แรงกดดันก่อให้เกิดการต่อต้านอำนาจรัฐอย่างต่อเนื่อง และปะทุรุนแรงขี้น เมื่อฝ่ายผู้ปกครองใช้กำลังเข้าปราบปรามและจับผู้นำมวลชน (เนลสัน แมนเดลา) ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต แต่การปราบปรามอย่างรุนแรง ไม่อาจระงับยับยั้งการลุกฮือของมวลชนคนผิวสีได้ มีคนตายจากเหตุการชุมนุมประท้วงนับร้อยนับพันคน แต่เหตุการณ์ก็นำไปสู่การที่รัฐบาลไม่สามารถบริหารประเทศได้ กลายเป็นรัฐล้มเหลว (Failed State) สหประชาชาติต้องเข้ามาแทรกแซง แอฟริกาใต้ถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ บริษัทข้ามชาติถอนการลงทุน เกิดผลกระทบเดือดร้อนโกลาหลทั่วประเทศตั้งแต่ปี ค.ศ. 1976 เรื่อยมา
ปัญหารุมเร้าประเทศจนถึง ค.ศ. 1989 ประธานาธิบดีโบทา (Botha Willem Pieter) ที่ครองอำนาจมายาวนาน กว่าครึ่งศตวรรษยอมลาออก ประธานาธิบดีเดอเคิร์ก (Frederik Willem de Klerk) เข้ารับตำแหน่งแทน ประกาศยกเลิกกฎหมายเหยียดเชื้อชาติ และใช้นโยบายผ่อนปรนต่อคนผิวสีมากขึ้น ตลอดจนปล่อยตัว เนลสัน แมนเดลา ที่ถูกจองจำนานถึง 27 ปี ซึ่งทำให้ประธานาธิบดี เดอเคิร์ก และ เนลสัน แมนเดลา ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพร่วมกัน ในปี ค.ศ. 1995 และต่อมา เนลสัน แมนเดลา ก็ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ และทุ่มเทแก้ไขปัญหาที่สะสมมายาวนานจนประสบผลสำเร็จ สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ เจริญก้าวหน้ามาเป็นลำดับจนถึงปัจจุบัน
ผมหวนคิดถึงเรื่องราวแอฟริกาใต้ เพราะมีความรู้สึกว่า ปัญหาความขัดแย้งวุ่นวายในประเทศไทย ที่สะสมมายาวนานและนับวันจะรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ น่าจะถึงทางตันและถึงจุดที่จะต้องปรับเปลี่ยนอย่างจริงจัง เหมือนเช่นที่ประธานาธิบดีเดอเคิร์ก และเนลสัน แมนเดลา ร่วมกับประชาชนปฏิวัติเปลี่ยนแปลงประเทศแอฟริกาใต้
ระบบการเมืองไทยที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงมาถึงจุดทางตันแล้วจริงๆ วิธีคิดแบบอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และบรรดาหัวหน้าแก๊งการเมืองน้ำเน่าเส็งเครงทั้งหลาย ที่พอเข้าตาจนเมื่อไหร่ ก็จะอ้างวาทกรรมสำเร็จรูปแบบดิม คือ คืนอำนาจให้ประชาชน ด้วยการยุบสภากลับไปเลือกตั้งแบบฉ้อฉล ซื้อสิทธิ์ขายเสียงแบบเดิมๆ แล้วก็กลับมาร่วมกันครอบครองอำนาจรัฐ แสวงหาผลประโยชน์ ฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างเมามัน ซึ่งในสภาวการณ์ปัจุบัน ประชาชนคนไทยคงไม่ยอมให้วิถีทางเลวทรามซ้ำซากเช่นนั้น กลับมาวนเวียนหลอกหลอนด้วยตัวละครน้ำเน่าหน้าเดิมๆ อีกต่อไป
ตัวอย่างการคิดวิธีระดมทุนแบบบังหน้าฟอกเงินของพรรคการเมือง ที่จัดโต๊ะจีนโต๊ะละสองล้านห้าแสนบาทถึงเจ็ดล้านบาท เป็นวิธีคิดที่ยั่วโทสะและเหยียบย่ำจิตใจประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ ที่ยังลำบากยากจน และปากกัดตีนถีบอยู่กับระบบเศรษฐกิจทุนสามานย์ ที่รัฐบาลนี้สวมรอยระบอบทักษิณอย่างไม่มียางอาย นับเป็นปรากฏการณ์หายนะที่ไม่น่าเชื่อว่า จะเป็นแนวทางของพรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย
วิธีคิดและการกระทำได้พิสูจน์ชัดแจ้งแล้วว่า บรรดานักการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ที่คนไทยเคยหลงเชื่อว่าเป็นคนดีมีอุดมการณ์ แท้จริงแล้ว ก็ล้วนแต่นักเลือกตั้งอาชีพที่ไม่แตกต่างจากแก๊งการเมืองอื่นๆ ของประเทศนี้เลย นับตั้งแต่หัวขบวนอย่างนายชวน หลีกภัย ลดหลั่นลงไปถึง ส.ส.โนเนมท้ายขบวน
เมื่อก่อนเราเคยชื่นชมกันว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคเดียวที่ ส.ส.ของพรรคทุกคน ต้องถูกหักเงินเดือนส่วนหนึ่งเพื่อเป็นเงินค่าบำรุงสนับสนุนกิจกรรมของพรรค ขณะที่พรรคอื่นๆ ส.ส.จะได้รับเงินพิเศษจากพรรคนอกเหนือจากเงินเดือน แต่มาบัดนี้พรรคประชาธิปัตย์ก็เกิดดีแตกเสียแล้ว เพราะมีข้อมูลยืนยันว่า ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ทุกคน ได้รับเงินเดือนพิเศษจากพรรคนอกเหนือจากเงินเดือน ส.ส.อีกคนละหนึ่งแสนห้าหมื่นบาทถึงสามแสนบาท ลดหลั่นตามอาวุโสหรือความสำคัญของ ส.ส.แต่ละคนไป น่าเศร้าที่ทิ้งแบบอย่างที่ดีไปเอาแบบอย่างที่เลว และตอบคำถามภาคประชาชนไม่ได้ว่า เงินพิเศษเหล่านี้มาจากไหน?
เกือบสองเดือนของขบวนการภาคประชาชนที่สะพานมัฆวานฯ ได้เปิดโปงปอกเปลือกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนักการเมืองไทยจนล่อนจ้อนหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแนวนโยบายที่เอาประโยชน์เข้าพรรคเข้าส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนโดยส่วนรวม ไปจนถึงการเรียกเก็บหัวคิวตั้งแต่การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการไปจนถึงโครงการเมกะโปรเจกต์ ตลอดจนโครงการเล็กโครงการน้อยที่จัดสรรไปในภูมิภาคและท้องถิ่น ซึ่งว่ากันว่าเปอร์เซ็นต์ใต้โต๊ะหนักข้อยิ่งกว่าระบอบทักษิณเสียอีก
ถ้ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และบรรดาแก๊งการเมืองต่างๆ ยังหูหนวกตาบอด ไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งเลวทรามชั่วร้ายที่ร่วมกันก่อขึ้นในบ้านนี้เมืองนี้ และยังประเมินกำลังภาคประชาชนต่ำ ก็ขอให้เตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับการลุกฮือขึ้นของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ที่นับวันจะอดรนทนไม่ไหวต่อพฤติกรรมอันเลวทรามต่ำช้าของแก๊งการเมืองทั้งหมด ที่ผลัดเปลี่ยนกันโกงบ้านกินเมืองจนครบถ้วนทุกแก๊งแล้ว เหมือนการสิ้นสุดความอดทนของคนผิวสีในแอฟริกาใต้ในอดีต และเหมือนปรากฏการณ์การลุกฮือของประชาชนในอียิปต์ ตูนิเซีย และลิเบียที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน
การลุกฮือของประชาชนคนไทย เพื่อขับไล่การเมืองเลว และปฏิวัติเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่ระบอบที่ถูกต้องเป็นธรรม เพื่ออำนวยประโยชน์สุขแก่มหาชนคนไทยอย่างแท้จริงได้คืบใกล้เข้ามาจนเริ่มนับถอยหลังได้แล้วตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป