เอเอฟพี - มูอัมมาร์ กัดดาฟี ประธานาธิบดีลิเบียประกาศลั่นเมื่อวันศุกร์(25)พร้อมเปิดคลังแสงให้ผู้สนับสนุนนำไปกวาดล้างฝ่ายต่อต้าน ลางบอกเหตุถึงการต่อสู้นองเลือดครั้งใหม่เพื่อเมืองหลวงของประเทศ หลังจนถึงตอนนี้มีผู้เสียชีวิตจากเหตุความไม่สงบไปหลายพันคน ขณะที่นานาชาติกำลังถกถึงแนวทางคว่ำบาตรผู้นำรายนี้
ในคำปราศรัยสั้นๆแต่เย็นชาในจตุรัสกรีน ณ กรุงตริโปลี กัดดาฟีบอกกับผู้สนับสนุนหลายร้อยคนจากด้านบนของอาคารแห่งหนึ่งให้เตรียมพร้อมสำหรับสู้รบ โดยบอกว่าถ้าจำเป็นจะเปิดคลังอาวุธให้พวกเขานำไปสู้กับฝ่ายตรงข้าม
ก่อนหน้านี้ผู้ภักดีต่อ กัดดาฟี ได้ยิงประชาชนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเสียชีวิตไปจำนวนมากทั่วเมืองหลวงและประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซี กลายเป็นผู้นำโลกคนแรกที่ออกมาเรียกร้องอย่างเปิดเผยให้ผู้นำรายนี้ลงจากอำนาจ
อย่างไรก็ตาม กัดดาฟี ไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน แถมยังเรียกร้องให้ฝ่ายสนับสนุนเขาสู้เพื่อปกป้องลิเบีย "ถ้าจำเป็น เราจะเปิดคลังแสง เราจะสู้กับพวกเขาและเราจะปราบพวกเขา" เขากล่าวท่ามเสียงโห่ร้องและโบกสะบัดธงชาติของกลุ่มผู้ภักดี
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้นับเป็นการปราศรัยหนที่ 3 ของกัดดาฟีในรอบสัปดาห์ โดยครั้งแรกเขาเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนกำจัดผู้ก่อจลาจล ส่วนต่อมาเขาอ้างว่าอัลกออิดะห์อยู่เบื้องหลังม็อบเยาวชนผู้ติดยาที่พยายามล้มอำนาจเขา
สถานการณ์ในลิเบียเวลานี้ แม้กองกำลังผู้ภักดีต่อระบอบกัดดาฟีจะพยายามยิงโจมตีฝ่ายค้านล้มล้างรัฐบาลเพื่อทวงเมืองสำคัญทางภาคตะวันตกใกล้กับกรุงตริโปลี และฝั่งตะวันออกที่ถูกยึดไปกลับคืนทว่าก็ยังไม่สำเร็จ โดยที่กลุ่มฝ่ายค้านซึ่งประกอบด้วยนักรบทหารแปรพักตร์ และพวกผู้ประท้วงยังคงควบคุมหลายเมืองเอาไว้ได้ ซึ่งรวมถึงเบงกาซี เมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ และมิสราตา เมืองใหญ่อันดับสามอีกด้วย ขณะที่มีข่าวว่า ทหารและตำรวจลิเบียในเมืองอัดญะบียา ได้แปรพักตร์ไปร่วมกับฝ่ายค้านแล้ว
ในกรุงตริโปลี กองกำลังความมั่นคงเปิดฉากยิงเข้าใส่นักแสวงบุญอย่างไม่เลือกหน้าขณะที่กำลังเสร็จสิ้นพิธีสวดมนต์ ในความพยายามขัดขวางการชุมนุมครั้งใหม่ ขณะเดียวกันรายงานข่าวระบุว่ามีผู้เสียชีวิต 2 รายในเมืองฟาสท์ลัมที่อยู่ติดกันและอีกหลายศพในเมืองซัก อัล-โจมา
ที่เมืองมิสราตา ซึ่งใหญที่สุดเป็นอันดับ 3 ของลิเบียและอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปทางตะวันออก 150 กิโลเมตร คาดหมายว่าจะมีชาวบ้านแออัดยัดเยียดเข้าร่วมพิธีศพของประชาชน 30 คน พร้อมกันนี้ก็เตรียมใช้โอกาสนี้ร่วมกันขับไล่ผู้จงรักภักดีรัฐบาลด้วย และด้วยที่ทหารฝ่ายรัฐบาลราว 500 คนยังคงซ่อนตัว ณ สนามบินใกล้เคียง ทำให้อาสาสมัครพากันจัดทำป้อมปราการด้วยข้าวของและถุงทรายเพื่อป้องกันการโจมตี
อีกด้านหนึ่งรัฐบาลชาติตะวันตกพยายามอย่างหนักที่จะมาตรการลงโทษร่วมตอบโต้การปราบปรามนองเลือดภายในประเทศแห่งนี้
ย่างก้าวแรกทางสหภาพยุโรปมีมติห้ามเรือบรรทุกอาวุธเข้าออก อายัดทรัพย์สินและห้ามนักท่องเที่ยวเดินทางไปยังลิเบีย อย่างไรก็ตามข้อกำหนดนี้ยังคงไม่สามารถบังคับใช้ไปอีกหลายวันเนื่องจากจำเป็นต้องเปลี่ยนมติดังกล่าวเป็นร่างที่ถูกต้องตามกฎหมายเสียก่อน
นอกจากนี้ทางชาติตะวันตกก็อยู่ระหว่างถกร่างมติคว่ำบาตรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่จะบังคับใช้เหมือนกันทั่วโลก จากการเปิดเผยของคณะทูตในนิวยอร์ก พร้อมบอกต่อว่าการลงมติรับร่างนี้จะมีขึ้นอย่างเร็วที่สุดในช่วงสุดสัปดาห์ ตามเสียงเรียกร้องขอให้ออกมาตรการคว่ำบาตรจากฝรั่งเศสและอังกฤษ ที่หวังเห็นสมาชิกในรัฐบาลลิเบียถูกดำเนินคดีในศาลอาชญากรสากลด้วย
ด้านประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ ได้หารือร่วมกับนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอนของอังกฤษ, ประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซีแห่งฝรั่งเศส และนายกรัฐมนตรีซิลวิโอ แบร์ลุสโคนีของอิตาลี เมื่อวานนี้ (24) เพื่อหาแนวทางในการลงโทษโดยทันทีต่อผู้นำมูอัมมาร์ กัดดาฟี ของลิเบีย ซึ่งส่งกำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามปราบปรามประชาชนที่ลุกฮืออย่างโหดเหี้ยมทารุณ จนส่งผลให้น่าจะมีพลเรือนถูกสังหารไปมากถึง 2,000 ราย
ทั้งนี้สหรัฐฯ ระบุว่ายังคงเปิดกว้างและสงวนทุกทางเลือกในการตอบโต้กัดดาฟีเอาไว้ ซึ่งรวมถึงอ็อปชั่นการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ไปจนถึงการใช้กำลังทางทหารกับลิเบีย