ASTVผู้จัดการรายวัน - “สุเทพ” สั่ง ผบ.ตร.ลงพื้นที่ชายแดนใต้กำชับไล่ล่าโจรใต้ปล้นร้านทองให้ได้ ชี้มีอะไรที่ซับซ้อนผิดสังเกต “ผบ.ทบ.” ชี้ปล้นร้านทองนราฯ โจรใต้ดิ้นหาเงินหนุนขบวนการ หลังเจ้าหน้าที่รุกตัดท่อน้ำเลี้ยงยาเสพติด-ของเถื่อน โอดดับไฟใต้ไม่ได้อย่าโยนให้ทหาร
วานนี้ (16 มี.ค.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงกรณีที่มีการมองว่าเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธสงครามบุกปล้นร้านทอง ใน อ.สุไหงโกลก จ.จังหวัดนราธิวาส อาจเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ เพราะผู้ก่อเหตุดูมีความเชี่ยวชาญเรื่องการใช้อาวุธปืนว่า เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา ตนได้พุดคุยกับ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และได้มีการปรึกษากันว่า กรณีอย่างนี้เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ต้องติดตามสืบสวนสอบสวนหาตัวคนทำผิดให้ได้ เพราะเป็นกรณีที่ตนมองว่ามีลักษณะที่ซับซ้อน เพราะพื้นที่ชายแดนภาคใต้มีหลายประเด็นที่มีลักษณะที่ซับซ้อน พวกอิทธิพล ค้าของเถื่อน ยาเสพติด มีอยู่ในพื้นที่และที่ยืนพื้นเลย คือ กลุ่มผู้ก่อการร้าย ซึ่งตรงนี้ได้บอก พล.ต.อ.วิเชียร ไปว่าให้ช่วยลงไปกำกับและดูแลให้ดี
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)กล่าวระหว่างเดินทางลงพื้นที่ จ.ปัตตานี ร่วมประชุมกับผู้บังคับหน่วยที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 ฝ่ายและกองกำลังหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ในครั้งนี้ ได้มีการประเมินปัญหาต่างๆ ที่ผ่านมา เพื่อนำไปสู่การปรับยุทธวิธีในการปฏิบัติหน้าที่ให้เหมาะกับสถานการณ์ เพราะผู้ก่อความรุนแรงพยายามที่จะก่อเหตุอย่างต่อเนื่อง
แต่ที่ผ่านมา หน่วยกำลังก็ได้พยายามเข้าสู่พื้นที่มีความรุนแรงจำนวน 217 หมู่บ้าน โดยเข้าไปพบปะทำความเข้าใจกับชาวบ้าน และใช้มาตรการทางกฎหมายต่อกลุ่มผู้ก่อความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐได้เข้าไปทำงานด้านการพัฒนา โดยได้มีการดูแลในเรื่องของต้นตอของปัญหา ประวัติศาสตร์ ยาเสพติด น้ำมันเถื่อน เพราะที่ผ่านมามีการจับกุมน้ำมันเถื่อนและยาเสพติด ซึ่งมีเครือข่ายเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ก่อความรุนแรงในการขยายการก่อเหตุ
ส่วนสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ทั้งการก่อเหตุระเบิดและทำร้ายประชาชน รวมไปถึงปล้นร้านทองใน อ.สุไหงโกลก จ.จังหวัดนราธิวาสนั้น ต้องยอมรับว่าไม่ใช่เฉพาะเรื่องของผู้ก่อความรุนแรง แต่มันเชื่อมโยงกับอาชญากรรม ซึ่งได้กำชับผู้ว่าราชการจังหวัด ตำรวจ ทหาร และ อส.ในการเพิ่มความเข้ม โดยเฉพาะด่านตรวจหลัก ด่านตรวจลอยและจะมีการเพิ่มการติดตั้งกล้อง CCTV
"เหตุการณ์ปล้นร้านทองนั้นสามารถวิเคราะห์ได้ 2 ประการ คือ ประการแรก เราได้มีการตัดช่องทางการเงินของขบวนการผู้ก่อความไม่สงบ เช่น ยาเสพติด ของเถื่อน โดยให้กองทัพภาคที่ 4 ดำเนินการร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าศุลกากร เป็นไปได้ว่ากลุ่มขบวนการจึงต้องพยายามหาเงินสนับสนุนให้ผู้ก่อเหตุ ประการที่สอง เป็นโจรผู้ร้าย ที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน สำหรับอาวุธปืนทีเห็นบางส่วนนำไปจากฐานร้อย ร.15121 จ.นราธิวาส ซึ่งถูกปล้นไปก่อนหน้านี้ กำลังสอบสวนว่าทำไมไปทิ้งไว้อย่างนั้น และใช่หรือไม่ใช่ แต่จุดนี้คงไม่สำคัญ ประเด็นสำคัญคือพวกนี้คือโจร" ผบ.ทบ.กล่าว
ในส่วนของเรื่องการเจรจากับกลุ่มผู้ก่อความรุนแรงนั้น ผบ.ทบ.ระบุว่า มี 5-6 กลุ่มที่พยายามดำเนินการเรื่องนี้ แต่ในทางกฎหมายยังไม่สามารถเจรจาได้ เพราะถือว่าเป็นการก่อการร้ายและเท่ากับเป็นการยกระดับให้กับกลุ่มก่อการร้าย ที่ผ่านมากลุ่มผู้ก่อความรุนแรงพยายามสร้างสถานการณ์เคลื่อนไหว เพื่อที่จะนำเรื่องนี้เข้าสู้เวทีระดับโลก ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นประเทศไทยสามารถแก้ปัญหาเองได้
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงการเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใตในครั้งนี้ด้วยว่า เป็นการไปตรวจเยี่ยมตามปกติ ในส่วนของงานภาคใต้กองทัพบกเป็นเพียงหน่วยในการแก้ปัญหาหน่วยหนึ่ง รัฐบาลเป็นคนแก้โดยใช้นโยบายการเมืองนำการทหาร มีการแบ่งงานเป็น 3 แท่ง แท่งแรกคือกระทรวง ทบวง กรม มีเจ้าหน้าที่ งบประมาณปฏิบัติการ อยู่ในพื้นที่ปกติ แท่งที่สองคือกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนเป็นกองกำลังผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท.) ตามกฎหมายใหม่ และแท่งที่สามคือศูนย์บริหารงานจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศบ.ชต.)ทั้ง 3 ส่วนทำงานหลักคนละด้านทั้งหมดจะมาบริหารกันที่คณะกรรมการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.)และ คณะรัฐมนตรีจังหวัดชายแดนภาคใต้ (รชต.)จะมีกาประชุมทุกเดือนเกี่ยวกันแผนงาน งบประมาณ นโยบาย
“ปัจจุบันเป็นแก้ไขปัญหาทุกมิติ ทุกระบบ ไม่เช่นนั้นท่านจะมาลงความเห็นว่าทหาร หรือตำรวจบกพร่อง ผมไม่ได้ปัดความรับผิดชอบ แต่อยากให้ทุกคนเข้าใจว่าปัญหาระดับชาติไม่ใช่ใครเป็นคนแก้ นายกรัฐมนตรีท่านเป็นหัวหน้างานทั้ง 3 หน่วย ผมเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ลงไปกำกับงานด้านความมั่นคง และงานพัฒนาที่จะมาเกี่ยวข้อง เช่น การประสานกับ ศบ.ชต.ว่าพื้นที่ไหนควรนำการพัฒนาลงไปอย่างเร่งด่วน และความต้องการของประชาชนเป็นอย่างไร อยากให้ลงไปดูว่าเขาทำงานกันอย่างไรแล้วจะเข้าใจมากขึ้น มีการพัฒนาตามลำดับตั้งแต่ปี 2547 ที่เกิดเหตุการณ์ปล้นปืน บางอย่างก็ดีขึ้น บางอย่างก็ต้องแก้ไข การที่กล่าวว่าไม่มีการประสานการปฏิบัติ ไม่มีการบูรณาการ ไม่มีเอกภาพ อยากบอกว่าเอกภาพมีหลายระดับ ระดับบนสุดคือนายกรัฐมนตรีมีเอกภาพ เป็นคนสั่งการสูงสุด ผมในฐานะรอง ผอ.รมน.รับนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ระดับล่างในการบูรณาการการปฏิบัติคือ แม่ทัพภาคที่ 4 รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัด”ผบ.ทบ.กล่าว.
วานนี้ (16 มี.ค.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงกรณีที่มีการมองว่าเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธสงครามบุกปล้นร้านทอง ใน อ.สุไหงโกลก จ.จังหวัดนราธิวาส อาจเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ เพราะผู้ก่อเหตุดูมีความเชี่ยวชาญเรื่องการใช้อาวุธปืนว่า เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา ตนได้พุดคุยกับ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และได้มีการปรึกษากันว่า กรณีอย่างนี้เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ต้องติดตามสืบสวนสอบสวนหาตัวคนทำผิดให้ได้ เพราะเป็นกรณีที่ตนมองว่ามีลักษณะที่ซับซ้อน เพราะพื้นที่ชายแดนภาคใต้มีหลายประเด็นที่มีลักษณะที่ซับซ้อน พวกอิทธิพล ค้าของเถื่อน ยาเสพติด มีอยู่ในพื้นที่และที่ยืนพื้นเลย คือ กลุ่มผู้ก่อการร้าย ซึ่งตรงนี้ได้บอก พล.ต.อ.วิเชียร ไปว่าให้ช่วยลงไปกำกับและดูแลให้ดี
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)กล่าวระหว่างเดินทางลงพื้นที่ จ.ปัตตานี ร่วมประชุมกับผู้บังคับหน่วยที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 ฝ่ายและกองกำลังหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ในครั้งนี้ ได้มีการประเมินปัญหาต่างๆ ที่ผ่านมา เพื่อนำไปสู่การปรับยุทธวิธีในการปฏิบัติหน้าที่ให้เหมาะกับสถานการณ์ เพราะผู้ก่อความรุนแรงพยายามที่จะก่อเหตุอย่างต่อเนื่อง
แต่ที่ผ่านมา หน่วยกำลังก็ได้พยายามเข้าสู่พื้นที่มีความรุนแรงจำนวน 217 หมู่บ้าน โดยเข้าไปพบปะทำความเข้าใจกับชาวบ้าน และใช้มาตรการทางกฎหมายต่อกลุ่มผู้ก่อความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐได้เข้าไปทำงานด้านการพัฒนา โดยได้มีการดูแลในเรื่องของต้นตอของปัญหา ประวัติศาสตร์ ยาเสพติด น้ำมันเถื่อน เพราะที่ผ่านมามีการจับกุมน้ำมันเถื่อนและยาเสพติด ซึ่งมีเครือข่ายเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ก่อความรุนแรงในการขยายการก่อเหตุ
ส่วนสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ทั้งการก่อเหตุระเบิดและทำร้ายประชาชน รวมไปถึงปล้นร้านทองใน อ.สุไหงโกลก จ.จังหวัดนราธิวาสนั้น ต้องยอมรับว่าไม่ใช่เฉพาะเรื่องของผู้ก่อความรุนแรง แต่มันเชื่อมโยงกับอาชญากรรม ซึ่งได้กำชับผู้ว่าราชการจังหวัด ตำรวจ ทหาร และ อส.ในการเพิ่มความเข้ม โดยเฉพาะด่านตรวจหลัก ด่านตรวจลอยและจะมีการเพิ่มการติดตั้งกล้อง CCTV
"เหตุการณ์ปล้นร้านทองนั้นสามารถวิเคราะห์ได้ 2 ประการ คือ ประการแรก เราได้มีการตัดช่องทางการเงินของขบวนการผู้ก่อความไม่สงบ เช่น ยาเสพติด ของเถื่อน โดยให้กองทัพภาคที่ 4 ดำเนินการร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าศุลกากร เป็นไปได้ว่ากลุ่มขบวนการจึงต้องพยายามหาเงินสนับสนุนให้ผู้ก่อเหตุ ประการที่สอง เป็นโจรผู้ร้าย ที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน สำหรับอาวุธปืนทีเห็นบางส่วนนำไปจากฐานร้อย ร.15121 จ.นราธิวาส ซึ่งถูกปล้นไปก่อนหน้านี้ กำลังสอบสวนว่าทำไมไปทิ้งไว้อย่างนั้น และใช่หรือไม่ใช่ แต่จุดนี้คงไม่สำคัญ ประเด็นสำคัญคือพวกนี้คือโจร" ผบ.ทบ.กล่าว
ในส่วนของเรื่องการเจรจากับกลุ่มผู้ก่อความรุนแรงนั้น ผบ.ทบ.ระบุว่า มี 5-6 กลุ่มที่พยายามดำเนินการเรื่องนี้ แต่ในทางกฎหมายยังไม่สามารถเจรจาได้ เพราะถือว่าเป็นการก่อการร้ายและเท่ากับเป็นการยกระดับให้กับกลุ่มก่อการร้าย ที่ผ่านมากลุ่มผู้ก่อความรุนแรงพยายามสร้างสถานการณ์เคลื่อนไหว เพื่อที่จะนำเรื่องนี้เข้าสู้เวทีระดับโลก ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นประเทศไทยสามารถแก้ปัญหาเองได้
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงการเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใตในครั้งนี้ด้วยว่า เป็นการไปตรวจเยี่ยมตามปกติ ในส่วนของงานภาคใต้กองทัพบกเป็นเพียงหน่วยในการแก้ปัญหาหน่วยหนึ่ง รัฐบาลเป็นคนแก้โดยใช้นโยบายการเมืองนำการทหาร มีการแบ่งงานเป็น 3 แท่ง แท่งแรกคือกระทรวง ทบวง กรม มีเจ้าหน้าที่ งบประมาณปฏิบัติการ อยู่ในพื้นที่ปกติ แท่งที่สองคือกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนเป็นกองกำลังผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท.) ตามกฎหมายใหม่ และแท่งที่สามคือศูนย์บริหารงานจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศบ.ชต.)ทั้ง 3 ส่วนทำงานหลักคนละด้านทั้งหมดจะมาบริหารกันที่คณะกรรมการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.)และ คณะรัฐมนตรีจังหวัดชายแดนภาคใต้ (รชต.)จะมีกาประชุมทุกเดือนเกี่ยวกันแผนงาน งบประมาณ นโยบาย
“ปัจจุบันเป็นแก้ไขปัญหาทุกมิติ ทุกระบบ ไม่เช่นนั้นท่านจะมาลงความเห็นว่าทหาร หรือตำรวจบกพร่อง ผมไม่ได้ปัดความรับผิดชอบ แต่อยากให้ทุกคนเข้าใจว่าปัญหาระดับชาติไม่ใช่ใครเป็นคนแก้ นายกรัฐมนตรีท่านเป็นหัวหน้างานทั้ง 3 หน่วย ผมเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ลงไปกำกับงานด้านความมั่นคง และงานพัฒนาที่จะมาเกี่ยวข้อง เช่น การประสานกับ ศบ.ชต.ว่าพื้นที่ไหนควรนำการพัฒนาลงไปอย่างเร่งด่วน และความต้องการของประชาชนเป็นอย่างไร อยากให้ลงไปดูว่าเขาทำงานกันอย่างไรแล้วจะเข้าใจมากขึ้น มีการพัฒนาตามลำดับตั้งแต่ปี 2547 ที่เกิดเหตุการณ์ปล้นปืน บางอย่างก็ดีขึ้น บางอย่างก็ต้องแก้ไข การที่กล่าวว่าไม่มีการประสานการปฏิบัติ ไม่มีการบูรณาการ ไม่มีเอกภาพ อยากบอกว่าเอกภาพมีหลายระดับ ระดับบนสุดคือนายกรัฐมนตรีมีเอกภาพ เป็นคนสั่งการสูงสุด ผมในฐานะรอง ผอ.รมน.รับนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ระดับล่างในการบูรณาการการปฏิบัติคือ แม่ทัพภาคที่ 4 รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัด”ผบ.ทบ.กล่าว.
