ASTVผู้จัดการรายวัน-บิ๊กประกันภัย คาดยอดเคลมประกันแผ่นดินไหว-สึนามิที่ญี่ปุ่น 5.4 พันล้านดอลลาร์ ส่วนของบริษัทกระทบเล็กน้อยแค่ 6-10 ล้านบาท เหตุมีการทำประกันต่อ ระบุความเสียหายด้านทรัพย์สินรอบนี้ไม่หนักเท่าแผ่นดินไหวโกเบ เนื่องจากเป็นเมืองท่าขนาดเล็ก มั่นใจไม่ทำให้บริษัทประกันภัยปิดตัว แต่ได้รับผลกระทบแน่นอน ฟันธงเบี้ยประกันภัยเตรียมปรับเพิ่มอีก หลังความถี่จากภัยธรรมชาติเริ่มมากขึ้น
นายชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการและกรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทกรุงเทพประกันภัย จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น เบื้องต้นน่าจะมีความเสียหายและมูลค่าการจ่ายสินไหมทดแทนประมาณ 5.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทรับประกันต่อที่ได้รับผลกระทบ ส่วนบริษัทเองได้รับผลกระทบน้อยมากและน่าจะอยู่ในวงเงินไม่เกิน 6-10 ล้าบาท เนื่องจากมีการประกันต่อเพื่อลดความเสี่ยง นอกจากนี้การรับประกันต่อในประเทศญี่ปุ่นเองยังมีข้อยกเว้นเกี่ยวกับภัยธรรมชาติอีกด้วย
สำหรับ ความเป็นไปได้ของการจ่ายสินไหมทดแทนของบริษัทน่าจะเป็นในส่วนของประกันภัยทางทะเล สินค้าส่งออกและนำเข้าที่ยังอยู่ในระหว่างดำเนินการ รวมถึงที่ยังอยู่ในเรือสินค้า ซึ่งบางอย่างถึงแม้ไม่เสียหายแต่อาจได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนไฟฟ้า เนื่องจากเป็นสินค้าแช่แข็งที่ต้องใช้ความเย็นในการเก็บรักษา
"เราคงได้รับผลกระทบไม่มากเพราะท่าเรือที่เกิดไม่ใหญ่มาก และอสังหาริมทรัพย์ที่ญุี่ปุ่นเองก็ไมครอบคลุมอยู่ในกรมธรรม์ แต่ตอนนี้ยังไม่มีรายงานมาว่ามีเรือไทย หรือสินค้าส่งออกและนำเข้าที่บริษัทรับประกันเท่าไร แต่อย่างไรคงไม่เกินวงเงิน6-10 ล้านบาท เพราะเรามีการประกันต่ออีกที่"นายชัยกล่าว
นายชัย กล่าวอีกว่า ในส่วนของการรับประกันต่อเองจะมีหลายกรมธรรม์ ซึ่งบริษัทจำเป็นต้องประกันความเสี่ยงให้อยู่ในวงเงินที่ตั้งไว้ ยกตัวอย่างเช่น ในกรณี 1 เหตุการณ์ แต่มีสินค้าของหลายบริษัทรวมอยู่ในแห่งเดียวกันจะต้องทำการประกันในอีกรูปแบบหนึ่ง ส่วนการรับประกันต่อจากประเทศญี่ปุ่นของบริษัทส่วนใหญ่มักจะไม่ครอบคลุมกับภัยธรรมชาติ เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นมีความถี่ในการเผิชญภัยธรรมชาติมาก
ส่วนการจ่ายสินไหมเองก็จะนับเป็นแต่ละเหตุการณ์ โดยในหนึ่งเหตุการณ์อาจมีลูกค้าอยู่หลายราย และช่วงเวลาก็จะอยู่ในระยะเวลาประมาณ 7 วัน ซึ่งหากเกิดอาฟเตอร์ช๊อกและมีความเสี่ยงหายเกิดขึ้นอีกก็จะต้องมีการตรวจสอบความเสียหายอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม จากการปรับตัวของราคาหุ้นในบริษัทประกันต่างชาติช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวเชื่อว่า บริษัทประกันคงจะได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะบริษัทประกันต่แต่คงไม่ทำให้ถึงกับมีการปิดตัวลง เนื่องจากยังมีเงินทุนอยู่ นอกจากนี้ความสูญเสียด้านทรัพย์สินที่ประเมิณไว้น่าจะน้อยกว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เมืองโกเบ เนื่องจากเมืองโกเบเป็นเมืองท่าอันดับสอง และมีขนาดใหญ่กว่าเมืองเซนไดที่เกิดเหตุ
นายชัย กล่าวอีกว่า จากเหตุการณ์ที่ประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้น่าจะส่งผลต่อการปรับเบี้ยกันภัยในอนาคต 2-3 ปีข้างหน้า โดยที่ผ่านมาในประเทศไทยเองเหตุการณ์นำท่วมที่หาดใหญ่ยังส่งผลให้เบี้ยประกันภัยต้องมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทเองคงต้องปรับเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากต้นทุนในการประกันต่อมีอัตราสูงขึ้น
"เบี้ยประกันภัยต่อคงต้องปรับเพิ่ม ซึ่งหากดูจากเหตุการณ์น้ำท่วมแล้วเรายังต้องจ่ายเพิ่มในอัตราร้อยละ 50 ในการประกันภัยต่อ ซึ่งถ้ามองทั้งจากความถี่ของการเกิดภัยธรรมชาติแล้วก็ต้องดูตามนั้น ขนาดหาดใหญ่ที่มีการวางระบบระบายน้ำใหม่ยังท่วม โคราชเป็นที่สูงยังท่วม และความเป็นไปได้ในการเกิดเหตุแบบนี้ยิ่งทำให้เบี้ยมันปรับตัวเพิ่มขึ้นได้"นายชัยกล่าว
นอกจากนี้ บริษัทเองยังต้องมีการพิจารณาด้วยว่า การป้องกันของลูกค้าที่ทำประกันเป็นอย่างไร ถ้าการป้องกันภัยมีความละหลวมเบี้ยก็จะสูง หรืออาจไม่รับประกันเลย แต่ถ้าในทางกลับกันเบี้ยประกันก็จะต้องดูในทางกลับกัน ซึ่งหลังจากนี้จะทราบได้ว่าความถี่ในการเกิดภัยธรรมชาติมันเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นจากภาวะโลกร้อน และควรต้องมีการป้องกัน โดยบางรายอาจทราบได้ว่าจุดที่ตั้งของโรงงานอยู่ในช่วงลอยเลื่อนของเปลือกโลกหรือไม่ก็ต้องมีการศึกษาและหลีกเลี่้ยงเช่นกัน
นายชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการและกรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทกรุงเทพประกันภัย จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น เบื้องต้นน่าจะมีความเสียหายและมูลค่าการจ่ายสินไหมทดแทนประมาณ 5.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทรับประกันต่อที่ได้รับผลกระทบ ส่วนบริษัทเองได้รับผลกระทบน้อยมากและน่าจะอยู่ในวงเงินไม่เกิน 6-10 ล้าบาท เนื่องจากมีการประกันต่อเพื่อลดความเสี่ยง นอกจากนี้การรับประกันต่อในประเทศญี่ปุ่นเองยังมีข้อยกเว้นเกี่ยวกับภัยธรรมชาติอีกด้วย
สำหรับ ความเป็นไปได้ของการจ่ายสินไหมทดแทนของบริษัทน่าจะเป็นในส่วนของประกันภัยทางทะเล สินค้าส่งออกและนำเข้าที่ยังอยู่ในระหว่างดำเนินการ รวมถึงที่ยังอยู่ในเรือสินค้า ซึ่งบางอย่างถึงแม้ไม่เสียหายแต่อาจได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนไฟฟ้า เนื่องจากเป็นสินค้าแช่แข็งที่ต้องใช้ความเย็นในการเก็บรักษา
"เราคงได้รับผลกระทบไม่มากเพราะท่าเรือที่เกิดไม่ใหญ่มาก และอสังหาริมทรัพย์ที่ญุี่ปุ่นเองก็ไมครอบคลุมอยู่ในกรมธรรม์ แต่ตอนนี้ยังไม่มีรายงานมาว่ามีเรือไทย หรือสินค้าส่งออกและนำเข้าที่บริษัทรับประกันเท่าไร แต่อย่างไรคงไม่เกินวงเงิน6-10 ล้านบาท เพราะเรามีการประกันต่ออีกที่"นายชัยกล่าว
นายชัย กล่าวอีกว่า ในส่วนของการรับประกันต่อเองจะมีหลายกรมธรรม์ ซึ่งบริษัทจำเป็นต้องประกันความเสี่ยงให้อยู่ในวงเงินที่ตั้งไว้ ยกตัวอย่างเช่น ในกรณี 1 เหตุการณ์ แต่มีสินค้าของหลายบริษัทรวมอยู่ในแห่งเดียวกันจะต้องทำการประกันในอีกรูปแบบหนึ่ง ส่วนการรับประกันต่อจากประเทศญี่ปุ่นของบริษัทส่วนใหญ่มักจะไม่ครอบคลุมกับภัยธรรมชาติ เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นมีความถี่ในการเผิชญภัยธรรมชาติมาก
ส่วนการจ่ายสินไหมเองก็จะนับเป็นแต่ละเหตุการณ์ โดยในหนึ่งเหตุการณ์อาจมีลูกค้าอยู่หลายราย และช่วงเวลาก็จะอยู่ในระยะเวลาประมาณ 7 วัน ซึ่งหากเกิดอาฟเตอร์ช๊อกและมีความเสี่ยงหายเกิดขึ้นอีกก็จะต้องมีการตรวจสอบความเสียหายอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม จากการปรับตัวของราคาหุ้นในบริษัทประกันต่างชาติช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวเชื่อว่า บริษัทประกันคงจะได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะบริษัทประกันต่แต่คงไม่ทำให้ถึงกับมีการปิดตัวลง เนื่องจากยังมีเงินทุนอยู่ นอกจากนี้ความสูญเสียด้านทรัพย์สินที่ประเมิณไว้น่าจะน้อยกว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เมืองโกเบ เนื่องจากเมืองโกเบเป็นเมืองท่าอันดับสอง และมีขนาดใหญ่กว่าเมืองเซนไดที่เกิดเหตุ
นายชัย กล่าวอีกว่า จากเหตุการณ์ที่ประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้น่าจะส่งผลต่อการปรับเบี้ยกันภัยในอนาคต 2-3 ปีข้างหน้า โดยที่ผ่านมาในประเทศไทยเองเหตุการณ์นำท่วมที่หาดใหญ่ยังส่งผลให้เบี้ยประกันภัยต้องมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทเองคงต้องปรับเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากต้นทุนในการประกันต่อมีอัตราสูงขึ้น
"เบี้ยประกันภัยต่อคงต้องปรับเพิ่ม ซึ่งหากดูจากเหตุการณ์น้ำท่วมแล้วเรายังต้องจ่ายเพิ่มในอัตราร้อยละ 50 ในการประกันภัยต่อ ซึ่งถ้ามองทั้งจากความถี่ของการเกิดภัยธรรมชาติแล้วก็ต้องดูตามนั้น ขนาดหาดใหญ่ที่มีการวางระบบระบายน้ำใหม่ยังท่วม โคราชเป็นที่สูงยังท่วม และความเป็นไปได้ในการเกิดเหตุแบบนี้ยิ่งทำให้เบี้ยมันปรับตัวเพิ่มขึ้นได้"นายชัยกล่าว
นอกจากนี้ บริษัทเองยังต้องมีการพิจารณาด้วยว่า การป้องกันของลูกค้าที่ทำประกันเป็นอย่างไร ถ้าการป้องกันภัยมีความละหลวมเบี้ยก็จะสูง หรืออาจไม่รับประกันเลย แต่ถ้าในทางกลับกันเบี้ยประกันก็จะต้องดูในทางกลับกัน ซึ่งหลังจากนี้จะทราบได้ว่าความถี่ในการเกิดภัยธรรมชาติมันเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นจากภาวะโลกร้อน และควรต้องมีการป้องกัน โดยบางรายอาจทราบได้ว่าจุดที่ตั้งของโรงงานอยู่ในช่วงลอยเลื่อนของเปลือกโลกหรือไม่ก็ต้องมีการศึกษาและหลีกเลี่้ยงเช่นกัน