ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - กฟผ.งัดมุกเอาตัวรอด สั่งสำนักงานโรงไฟฟ้าถ่านหินท่าศาลาปิดทำการ รับคำขีดเส้นตายต้องย้ายออกภายใน 15 มี.ค.นี้ แต่พบเจ้าหน้าที่ยังทำงานด้านใน และที่ประชุมระดับผู้บริหารมีมติสั่งเดินหน้าเต็มที่ ขณะที่กลุ่มเครือข่ายรักษ์บ้านเกิดท่าศาลาแนะรีบย้ายออกทันที หวั่นมวลชนเข้าไล่เองหลังจากเลยเส้นตาย 24.00น.ซึ่งจะมีการสรุปมติและแนวทางการต่อสู้อย่างเด็ดขาดและกลมเกลียวอีกครั้ง
วานนี้ (14 มี.ค.)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ทำการศูนย์ข้อมูลการพัฒนาพลังงานไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ที่ตั้งอยู่ริมถนนสายนครศรีธรรมราช-สุราษฎร์ธานี ช่วง ต.ท่าขึ้น อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ได้มีการนำกระดาษขนาด เอ 4 ปิดประกาศไว้ที่หน้าสำนักงาน แจ้งว่าสำนักงานดังกล่าวปิดชั่วคราวโดยยังไม่มีกำหนดเปิด แต่อย่างไรก็ตามพบว่าเจ้าหน้าที่ยังคงทำงานต่อไปเหมือนราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นายทรงวุฒิ พัฒแก้ว ผู้ประสานงานเครือข่ายรักษ์บ้านเกิดท่าศาลา เปิดเผยว่า แสดงให้เห็นว่า กฟผ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดูถูกประชาชน เพราะภาคประชาชนเสนอไปว่าต้องย้ายสำนักงานออกนอกพื้นที่ภายในวันที่ 15 มี.ค. เพื่อแสดงความจริงใจของหน่วยงานทั้งหมด ในการแก้ไขปัญหา เพราะผู้บริหารระดับสูงของ กฟผ.อ้างมาโดยตลอดว่าหากประชาชนไม่ยอมรับก็จะย้ายออกทันที มิหนำซ้ำยังไม่ได้เลือกพื้นที่จังหวัดนครศรีรรมราช ทั้งใน อ.ท่าศาลา และ อ.หัวไทร ในการตั้งโรงไฟฟ้า
“ดังนั้น ในเมื่อยังไม่ได้เลือกพื้นที่ สำนักงานจะตั้งตรงไหนก็ได้ ที่ กทม.ก็ต้องได้ไม่จำเป็นต้องมาใช้งบประมาณ กำลังคน และกิจกรรมต่างๆในพื้นที่อีกแล้ว เพราะเปลืองงบประมาณ อีกทั้งกระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่แต่ละคนเหมือนผีไม่มีหัว เพราะมีแต่ตัว ปากพูดไม่ได้ ตัดสินใจอะไรไม่ได้ ถามก็ตอบไม่ได้อีกทั้งยังมีกิริยา ยั่วยุ ท้าทาย ไม่แสดงความเป็นมิตร ใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งดื่มเหล้าข้างสำนักงาน ซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ทั้งในด้านมวลชน ความรู้ความเข้าใจรวมทั้งเปลืองงบประมาณภาษีประชาชนผู้บริหารระดับสูง กฟผ. อย่าพูดและนั่งฟังเฉพาะรายงานที่ไม่ตรงกับความจริง ให้ลูกน้องมาผลาญงบประมาณเล่นๆ เลิกคิดเข้าข้างตัวเอง วันนี้ที่ผลาญงบประมาณมาเท่าไหร่ ใช้อะไรไปบ้างกล้าเปิดเผยไหม เบื้องหลังภาคประชาชนเขาทราบดี” นายทรงวุฒิกล่าวต่อและว่า
แผนพัฒนาพลังงานของประเทศ ยังมีทางออกมากมาย รวมทั้งพื้นที่ ยังมีเวลาคิดอีกมาก อย่าคิดเอง เออเอง ความรู้ ความสามารถที่มีอยู่มาใช้ให้เป็นประโยชน์ และอย่าให้ทีมที่ปรึกษาที่เตรียมไว้อีกหลายชุดลงมาสร้างความวุ่นวาย เพราะภาคประชาชนรู้ทันแล้วอย่าลงมาพื้นที่อีกเลย เพราะทีมงานเหล่านี้เน้นความรุนแรง เน้นความแตกแยก ในหลายพื้นที่ก็ไม่ประสบความสำเร็จมีแต่การลุกฮือของประชาชน ทั้งใน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.ชุมพร หรือแนวทางนี้เป็นความตั้งใจของ กฟผ.ก็จะได้พิสูจน์กัน
“สำหรับแนวทางการเคลื่อนไหวของเครือข่ายรักษ์บ้านเกิดท่าศาลา เราเน้นมติของพี่น้องประชาชน สงบ สันติ และไม่สร้างความวุ่นวายใดๆ ที่ผ่านมาเราพยายามอย่างเต็มที่ในการกำกับ ควบคุมขบวนของประชาชน แต่หลังวันที่ 15 มี.ค.จะเป็นการเคลื่อนไหวโดยอิสระของแต่ละกลุ่มเพราะเป็นสิทธิของแต่ละกลุ่มเหมือนกัน หากเกิดอะไรขึ้น กฟผ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ” แกนนำรักษ์บ้านท่าศาลาเกิดกล่าว
ด้านนายสมิง พัฒนานนท์ ผู้ใหญ่บ้าน ม.2 ต.หน้าสตน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่าหากกฟผ.ยังเพิกเฉย เดินหน้าโครงการต่อไปโดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของประชาชนนั้น ขั้นต่อไปแน่นอนว่าชาวหัวไทรและชาวท่าศาลาต้องผนึกกำลังกันอย่างแน่นอนอยู่แล้ว และจากวันที่ 15 มี.ค. เป็นต้นไปมาตรการที่นำมาใช้ไล่โรงไฟฟ้าถ่านหินจะมีความเด็ดขาด และจะเชิญให้ประชาชนชาวนครศรีธรรมราช ทุกภาคส่วนมาร่วมมือกัน คราวนี้ กฟผ.จะเห็นถึงความเด็ดขาดของชาวนครศรีธรรมราช ที่คนทั้งประเทศรู้ดีว่าคนนครศรีธรรมราชเป็นคนที่จริงใจและเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในวานนี้(14 มี.ค.)ผู้บริหารระดับสูงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(บอร์ด) ได้มีการประชุมหารือกันในการทำงานในส่วนของจังหวัดนครศรีธรรมราช ทั้ง 2 อำเภอ แหล่งข่าวได้เปิดเผยว่า ข้อสรุปที่สำคัญและมีความหวั่นเกรงกันมากว่าจะเกิดขึ้น คือ การสั่งเดินหน้าโครงการต่อไป และปรากฏว่าในที่ประชุมมีการสั่งเดินหน้าโครงการต่อไปจริงๆ โดยให้มีการชะลอบทบาทบางส่วนลง
ทั้งนี้ สำนักงานในอ.หัวไทร ยังคงเปิดทำการต่อไป ขณะที่ สำนักงานอ.ท่าศาลา แม้ว่าจะปิดป้ายข้อความ “ปิดชั่วคราว” แต่เจ้าหน้าที่ยังคงทำงานต่อไป และสั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกส่วนยุติการตอบโต้สื่อสารในทุกรูปแบบเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าถ่านหินใน จ.นครศรีธรรมราช ผ่านสื่อมวลชนอย่างเด็ดขาด ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องหลายรายหวั่นเกรงถึงผลที่จะตามมา เนื่องจากคนนครศรีธรรมราช ขึ้นชื่อเรื่องความรักพวกพ้องและความเด็ดขาดอยู่แล้ว อาจจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นได้
ส่วนมาตรการต่อไปของประชาชนที่ต่อต้านโครงการนี้ วันนี้(15 มี.ค.)เวลาประมาณ 13.00น. จะเข้าสอบถามผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช หลังจากนั้นจะไปรวมตัวกันที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เพื่อร่วมกิจกรรม และในเวลา 00.00 น.จะประกาศมาตรการในการดำเนินการกับกฟผ. ในพื้นที่นครศรีธรรมราช อย่างต่อเนื่อง จนกว่ากฟผ.จะยุติโครงการและย้ายออกไปจากพื้นที่ทันที
วานนี้ (14 มี.ค.)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ทำการศูนย์ข้อมูลการพัฒนาพลังงานไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ที่ตั้งอยู่ริมถนนสายนครศรีธรรมราช-สุราษฎร์ธานี ช่วง ต.ท่าขึ้น อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ได้มีการนำกระดาษขนาด เอ 4 ปิดประกาศไว้ที่หน้าสำนักงาน แจ้งว่าสำนักงานดังกล่าวปิดชั่วคราวโดยยังไม่มีกำหนดเปิด แต่อย่างไรก็ตามพบว่าเจ้าหน้าที่ยังคงทำงานต่อไปเหมือนราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นายทรงวุฒิ พัฒแก้ว ผู้ประสานงานเครือข่ายรักษ์บ้านเกิดท่าศาลา เปิดเผยว่า แสดงให้เห็นว่า กฟผ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดูถูกประชาชน เพราะภาคประชาชนเสนอไปว่าต้องย้ายสำนักงานออกนอกพื้นที่ภายในวันที่ 15 มี.ค. เพื่อแสดงความจริงใจของหน่วยงานทั้งหมด ในการแก้ไขปัญหา เพราะผู้บริหารระดับสูงของ กฟผ.อ้างมาโดยตลอดว่าหากประชาชนไม่ยอมรับก็จะย้ายออกทันที มิหนำซ้ำยังไม่ได้เลือกพื้นที่จังหวัดนครศรีรรมราช ทั้งใน อ.ท่าศาลา และ อ.หัวไทร ในการตั้งโรงไฟฟ้า
“ดังนั้น ในเมื่อยังไม่ได้เลือกพื้นที่ สำนักงานจะตั้งตรงไหนก็ได้ ที่ กทม.ก็ต้องได้ไม่จำเป็นต้องมาใช้งบประมาณ กำลังคน และกิจกรรมต่างๆในพื้นที่อีกแล้ว เพราะเปลืองงบประมาณ อีกทั้งกระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่แต่ละคนเหมือนผีไม่มีหัว เพราะมีแต่ตัว ปากพูดไม่ได้ ตัดสินใจอะไรไม่ได้ ถามก็ตอบไม่ได้อีกทั้งยังมีกิริยา ยั่วยุ ท้าทาย ไม่แสดงความเป็นมิตร ใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งดื่มเหล้าข้างสำนักงาน ซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ทั้งในด้านมวลชน ความรู้ความเข้าใจรวมทั้งเปลืองงบประมาณภาษีประชาชนผู้บริหารระดับสูง กฟผ. อย่าพูดและนั่งฟังเฉพาะรายงานที่ไม่ตรงกับความจริง ให้ลูกน้องมาผลาญงบประมาณเล่นๆ เลิกคิดเข้าข้างตัวเอง วันนี้ที่ผลาญงบประมาณมาเท่าไหร่ ใช้อะไรไปบ้างกล้าเปิดเผยไหม เบื้องหลังภาคประชาชนเขาทราบดี” นายทรงวุฒิกล่าวต่อและว่า
แผนพัฒนาพลังงานของประเทศ ยังมีทางออกมากมาย รวมทั้งพื้นที่ ยังมีเวลาคิดอีกมาก อย่าคิดเอง เออเอง ความรู้ ความสามารถที่มีอยู่มาใช้ให้เป็นประโยชน์ และอย่าให้ทีมที่ปรึกษาที่เตรียมไว้อีกหลายชุดลงมาสร้างความวุ่นวาย เพราะภาคประชาชนรู้ทันแล้วอย่าลงมาพื้นที่อีกเลย เพราะทีมงานเหล่านี้เน้นความรุนแรง เน้นความแตกแยก ในหลายพื้นที่ก็ไม่ประสบความสำเร็จมีแต่การลุกฮือของประชาชน ทั้งใน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.ชุมพร หรือแนวทางนี้เป็นความตั้งใจของ กฟผ.ก็จะได้พิสูจน์กัน
“สำหรับแนวทางการเคลื่อนไหวของเครือข่ายรักษ์บ้านเกิดท่าศาลา เราเน้นมติของพี่น้องประชาชน สงบ สันติ และไม่สร้างความวุ่นวายใดๆ ที่ผ่านมาเราพยายามอย่างเต็มที่ในการกำกับ ควบคุมขบวนของประชาชน แต่หลังวันที่ 15 มี.ค.จะเป็นการเคลื่อนไหวโดยอิสระของแต่ละกลุ่มเพราะเป็นสิทธิของแต่ละกลุ่มเหมือนกัน หากเกิดอะไรขึ้น กฟผ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ” แกนนำรักษ์บ้านท่าศาลาเกิดกล่าว
ด้านนายสมิง พัฒนานนท์ ผู้ใหญ่บ้าน ม.2 ต.หน้าสตน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่าหากกฟผ.ยังเพิกเฉย เดินหน้าโครงการต่อไปโดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของประชาชนนั้น ขั้นต่อไปแน่นอนว่าชาวหัวไทรและชาวท่าศาลาต้องผนึกกำลังกันอย่างแน่นอนอยู่แล้ว และจากวันที่ 15 มี.ค. เป็นต้นไปมาตรการที่นำมาใช้ไล่โรงไฟฟ้าถ่านหินจะมีความเด็ดขาด และจะเชิญให้ประชาชนชาวนครศรีธรรมราช ทุกภาคส่วนมาร่วมมือกัน คราวนี้ กฟผ.จะเห็นถึงความเด็ดขาดของชาวนครศรีธรรมราช ที่คนทั้งประเทศรู้ดีว่าคนนครศรีธรรมราชเป็นคนที่จริงใจและเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในวานนี้(14 มี.ค.)ผู้บริหารระดับสูงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(บอร์ด) ได้มีการประชุมหารือกันในการทำงานในส่วนของจังหวัดนครศรีธรรมราช ทั้ง 2 อำเภอ แหล่งข่าวได้เปิดเผยว่า ข้อสรุปที่สำคัญและมีความหวั่นเกรงกันมากว่าจะเกิดขึ้น คือ การสั่งเดินหน้าโครงการต่อไป และปรากฏว่าในที่ประชุมมีการสั่งเดินหน้าโครงการต่อไปจริงๆ โดยให้มีการชะลอบทบาทบางส่วนลง
ทั้งนี้ สำนักงานในอ.หัวไทร ยังคงเปิดทำการต่อไป ขณะที่ สำนักงานอ.ท่าศาลา แม้ว่าจะปิดป้ายข้อความ “ปิดชั่วคราว” แต่เจ้าหน้าที่ยังคงทำงานต่อไป และสั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกส่วนยุติการตอบโต้สื่อสารในทุกรูปแบบเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าถ่านหินใน จ.นครศรีธรรมราช ผ่านสื่อมวลชนอย่างเด็ดขาด ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องหลายรายหวั่นเกรงถึงผลที่จะตามมา เนื่องจากคนนครศรีธรรมราช ขึ้นชื่อเรื่องความรักพวกพ้องและความเด็ดขาดอยู่แล้ว อาจจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นได้
ส่วนมาตรการต่อไปของประชาชนที่ต่อต้านโครงการนี้ วันนี้(15 มี.ค.)เวลาประมาณ 13.00น. จะเข้าสอบถามผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช หลังจากนั้นจะไปรวมตัวกันที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เพื่อร่วมกิจกรรม และในเวลา 00.00 น.จะประกาศมาตรการในการดำเนินการกับกฟผ. ในพื้นที่นครศรีธรรมราช อย่างต่อเนื่อง จนกว่ากฟผ.จะยุติโครงการและย้ายออกไปจากพื้นที่ทันที