xs
xsm
sm
md
lg

เปิดประเด็นซักฟอก 10 รมต. ถล่มทิ้งทวนรัฐบาลสวาปาล์ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สัปดาห์นี้โฟกัสทางการเมืองจะจับจ้องไปที่การเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งจะเป็น “ศึกซักฟอก” หนสุดท้ายของรัฐบาลภายใต้การนำของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี เพราะเหลือเวลาไม่ถึง 9 เดือนก็จะครบวาระของสภาฯชุดนี้แล้ว ที่สำคัญนายกฯยังประกาศกำหนดยุบสภาในช่วงกลางปีนี้ไปแล้ว
ฝ่ายค้านโดย “พรรคเพื่อไทย” หวังใช้โอกาสนี้เรียกคะแนนเสียงจากประชาชนในช่วงก่อนการเลือกตั้ง “ปูพรม” จับนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี รวม 10 คน ขึงพืดหวังเผด็จศึกเพื่อผลในสนามเลือกตั้ง โดยศึกครั้งนี้เปิดเวทีกันเต็มที่ 4 วันเต็ม ตั้งแต่วันที่ 15 – 18 มี.ค. และลงมติกันในวันที่ 19 มี.ค. รวมเวลาที่ใช้อภิปรายมากกว่า 66 ชม. กันเลยทีเดียว โดยจัดสรรเวลากันได้ดังนี้ ฝ่ายค้านรับไปอภิปราย 40 ชม. คณะรัฐมนตรีแจง 20 ชม. ที่เหลือเป็นเวลาเผื่อให้ประท้วงตีรวนอีก 6 ชม.

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่า “ฝ่ายค้านสมัครเล่น” อย่างพรรคเพื่อไทยจะหยิบยกประเด็นใดขึ้นมาเล่นงาน “รัฐบาลฝีปากกล้า” อย่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่แม้แต่ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ยังอดออกมาแสดงความเป็นห่วง “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” หัวหน้าทีมอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยไม่ได้ว่า ใช้เวลาอภิปรายมากเกินไป จะมีผลเสียมากกว่าผลดี เพราะอาจจะเสียท่าให้รัฐบาลที่มีนายกฯที่มีความสามารถโต้วาทีไม่แพ้ใครในโลก แต่ท้ายที่สุดเมื่อ “เจ๊มิ่ง” ดึงดันที่จะขอเวลา 4 วันรวด ฝ่ายรัฐบาลก็ใจกว้างจัดให้เต็มที่เช่นกัน
หันมาดูในส่วนของประเด็นที่จับทั้ง 10 คน “ขึ้นเขียง” รอบนี้ ซึ่งตามญัตติอย่างเป็นทางการระบุไว้ยืดยาว ดังนี้ “...การบริหารราชการล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพสื่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ยินยอม หรือรู้เห็นเป็นใจให้รัฐมนตรีในรัฐบาลและบุคคลแวดล้อมกระทำการทุจริตคอร์รัปชั่น การบริหารไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม ขาดหลักธรรมาภิบาล ดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจล้มเหลว ขาดวินัยการเงินการคลัง ละเว้นไม่ปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงในประเทศและสัมพันธ์ระหว่างประเทศ”
มาถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการออกมาระบุชี้ชัดว่า 10 พระหน่อนี้ใครโดนคดีใดบ้าง จึงถือโอกาสนี้ไล่เรียงประเด็นเป็นรายบุคคล เพื่อเป็น “การบ้าน” ให้แก่ “พะนะทั่น” ตามลำดับตัวอักษร
เริ่มจาก “หล่อโย่ง-กรณ์ จาติกวณิช” รมว.คลัง แน่นอนว่าต้องมีเอี่ยวด้วยจากข้อหาดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจล้มเหลว ขาดวินัยการเงินการคลัง แต่นั่นก็เป็นเพียง “น้ำจิ้ม” เพราะฝ่ายค้านหวังใช้เวทีชำแหละฐาน “หนุ่มกรณ์” ไม่ลืมกำพืด “นายหน้าค้าหุ้น” ใช้ข้อมูลอินไซเดอร์และ “ปั่นหุ้น” เพื่อเอื้อประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง ทั้งยังมีการไป “ดีลไทยคม” ที่ถูกกล่าวหาว่าควง “วอลล์เปเปอร์-ศิริโชค โสภา” ไปปิดดีลไกลถึงต่างแดน และปล่อยข่าวว่า รัฐบาลจะซื้อหุ้นดาวเทียมไทยคม ทำเอาหุ้นในกลุ่มโทรคมนาคมผันผวนหนัก ซึ่งงานนี้มีผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์อย่างแน่นอน
ถัดมาที่ “กษิต ภิรมย์” รมว.ต่างประเทศ ที่โชคดีกว่าคนอื่นเพราะเป็นหนี่งเดียวที่ไม่ถูกยื่นถอดถอนพ่วงไปด้วย เนื่องจากฝ่ายค้านมองว่าบริหารงานไม่ได้เรื่อง แต่ไม่ได้มีเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นมาเกี่ยวข้อง ซึ่งการอภิปรายจะมุ่งไปที่ประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาชายแดนไทย-เขมร คาดว่าข้อมูลน่าจะถอดมาจาก “เอเอสทีวี” นั่นเอง
ต่อมาที่ “เสี่ยไก่-จุติ ไกรฤกษ์” รมว.ไอซีที ที่โดดเข้ามานั่งในเก้าอี้ร้อน เพราะกำลังจะมีการประมูลระบบโทรศัพท์ 3 จี ที่มีมูลค่าหลายแสนล้าน บาท ซึ่งรัฐมนตรีคนเดิมตั้งเรื่องเตรียมไว้เกือบเสร็จแล้ว แต่เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองเสียก่อน พอเมื่อ “เสี่ยไก่” มารับไม้ต่อก็มีเอี่ยวไปโดยปริยาย ทั้งนี้ยังถูกโยนไปถึงการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในการทำสัญญาการให้บริการโทรศัพท์ในระบบ 3 จี กับ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หน่วยงานในกำกับของกระทรวงไอซีที
รายต่อมาโดนเรื่อง “โยกย้าย” ล้วนๆ สำหรับ “เสี่ยจิ้น-ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะ รมว.มหาดไทย เพราะรอบ 1-2 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าการปรับหมากข้าราชการฝ่ายปกครองภายในกระทรวงคลองหลอดเข้าขั้น “ผิดธรรมชาติ” อย่างน่าเกลียดในหลายกรณี ตั้งแต่ระดับ ปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้ว่าฯ หรือแม้กระทั่งการทุจริตสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ ซึ่งล้วนแล้วแต่อยู่ในคอนโทรลของ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” ประธานคณะทำงาน รมว.มหาดไทย แถมยังมีเรื่องทุจริตเบี้ยใบ้รายทางอีกเพียบ แต่อยู่ที่ฝ่ายค้านจะขุดขึ้นมาเล่นด้วยหรือไม่


มาที่เลขาฯพรรคภูมิใจไทยก็ไม่น้อยหน้าหัวหน้าพรรคเหมือนกัน “เจ๊วา-พรทิวา นาคาศัย” รมว.พาณิชย์ ที่โดนหนักแน่จากกรณีการทุจริตโครงการระบายข้าวสารรัฐบาลหรือ “สต๊อคลม” ที่ผ่านการไต่สวนในชั้น ป.ป.ช. และรายงานเรื่องนี้ไปยังที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว ทำให้นายกฯทุบโต๊ะเปรี้ยงเด้ง “วีระศักดิ์ จินารัตน์” ผู้ช่วย รมว.พาณิชย์ ที่ ป.ป.ช.แทงเรื่องว่ามีส่วนพัวพันกับโครงการนี้ออกจากราชการไว้ก่อน ไม่เท่านั้น “เจ๊วา” ยังซวยซ้ำกับวิกฤตข้าวยากหมากแพง ที่รัฐบาลอ้างว่าเป็นกันทั้งโลก ซึ่งก็ไม่มีใครเชื่อเมื่อทุกเรื่อง “ส่งกลิ่น” โดยเฉพาะ “น้ำมันปาล์ม” ที่กระทรวงพาณิชย์ถือว่าเป็นปลายทาง แต่ในฐานะผู้รับผิดชอบย่อมโดน “หางเลข” ไปด้วย
รายนี้มาเงียบๆแต่ก็ไม่รอดสำหรับ “ครูแก้ว-ศุภชัย โพธิ์สุ” รมช.เกษตรฯ ที่โดนแบบส่วนตั๊ว...ส่วนตัว กับประเด็นการถือครองที่ดินโดยไม่มีเอกสารสิทธิจำนวนกว่า 700 ไร่นำไปเป็นพื้นที่ปลูกยางพารา ใน จ.นครพนม บ้านเกิดและฐานการเมืองของตัวเอง
แทบจะไม่เคยรอดจากศึกซักฟอกสักครั้งตั้งแต่เป็นเสนาบดีมา สำหรับ “เทพเทือก-สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ซึ่งแน่นอนย่อมต้องถูกอภิปรายถึงกรณีสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ระหว่างเดือน เม.ย.-พ.ค.53 ที่มีผู้เสียชีวิต 91 ราย และบาดเจ็บอีกจำนวนมาก ซี่งแม้ว่าข้อมูลจะไม่ใหม่ แต่ก็ประมาทไม่ได้กับหลักฐานแปลกๆหรือ “คลิปลับ” ที่ฝ่ายพรรคเพื่อไทยเตรียมนำมาเล่นงาน ซึ่ง “สุเทพ” ก็โชว์กึ๋น “บลัฟ” กลับเช่นกันว่าเตรียมเปิดภาพว่าใครยิงอาก้าใส่ประชาชน และใครเผาเซ็นทรัลเวิร์ล ตื่นเต้นเร้าใจเรียกแขกตั้งแต่ปี่กลองยังไม่ขึ้นดี
เรื่องสลายคนเสื้อแดงอาจจะเป็นเรื่องน่าเบื่อไปแล้ว แต่กับกรณี “น้ำมันปาล์ม” ขาดแคลน ที่พูดกันกนาหูว่า รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงเป็น “โต้โผใหญ่” ฐานนั่งเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ และลือกันให้แซ่ดว่า ที่น้ำมันปาล์มขาดตลอด เพราะมีผู้ประกอบการรายใหญ่ในภาคใต้กักตุนเก็งกำไร โดยมีคลังน้ำมันอยู่ที่ จ.สุราษฎร์ธานี และมีผู้มีอำนาจในรัฐบาลรู้เห็นเป็นใจอีกต่างหาก จนเป็นที่มาของสมญานาม “รัฐบาลสวาปาล์ม”
รายนี้ก็ไม่เคยว่างเว้นจากเวทีนี้ “ซาเล้ง-โสภณ ซารัมย์” รมว.คมนาคม ที่รอบนี้อาจจะไม่ต้องตอบเรื่องเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน เพราะถูกแขวนอยู่ใน ครม.มาครึ่งค่อนปี จนคนลืมไปเสียหมดแล้ว แต่ก็หนีไม่พ้นที่ต้องมาปกป้องโครงการ “ถนนไร้ฝุ่น” อันเป็นที่ภาคภูมิใจ เพราะถูกกล่าวหาว่าถนนที่สร้างไม่ได้มาตรฐาน ทั้งยังมีการทุจริตในการประมูลซ่อมบำรุงของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท หลายหมื่นล้านบาท ที่สำคัญยังต้องเตรียมตอบคำถามที่ “อุ๊บอิ๊บ” เซ็นสัญญาสัมปทานก่อสร้างรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค ที่ กมธ.ป.ป.ช.ของสภาฯพยายาม “ทัดทาน” หลายต่อหลายครั้งว่ามีการทุจริตชัดเจน แต่ท้ายที่สุดก็ลากเอกชนมาเซ็นสัญญาไปแบบเงียบๆเมื่อกลางเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา
ถัดมาที่ “เสี่ยโย่ง-องอาจ คล้ามไพบูลย์” รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลงานด้านสื่อสารมวลชน คาดว่าจะโดนเต็มๆ 2 เด้ง ทั้งที่ไม่ค่อยได้เกี่ยวด้วยทั้งเรื่องการใช้ “งบพีอาร์” ของรัฐบาล และกรณีการตั้ง “กก.ผอ.ใหญ่ บมจ.อสมท” โดยที่ไม่ตรวจสอบคุณสมบัติ ซึ่งทั้ง 2 เรื่องเป็น “มรดกอสูร” ที่ถูกทิ้งไว้ตั้งแต่ยุค “รมต.น้องเดียว-สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ยังกำกับดูงานด้านสื่ออยู่สารมวลชนอยู่ งานนนี้ดูแล้วไม่แน่ “สาทิตย์” น่าจะลุกขึ้นตอบเยอะกว่า “องอาจ” ด้วยซ้ำไป
สุดท้าย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ย่อมถูกพุ่งเป้าโจมตีมากที่สุดอย่างแน่นอน และหนีไม่พ้นข้อกล่าวหาที่ว่าบริหารราชการแผ่นดินล้มเหลวไร้ประสิทธิภาพ สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน ขาดหลักธรรมาภิบาล ปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน และอื่นๆอีกมากมาย โดยเฉพาะกรณีล่าสุด “ภาษีบุหรี่” ที่นายกฯมีเอี่ยวด้วยเมื่อมีชื่อของ “เสี่ย ก.” คนใกล้ชิดเข้าไปเกี่ยวข้อง จนทำให้ชาติต้องเสียหายมากกว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นกรณีที่เพิ่งมีการเปิดเผยขึ้นมาหมาดๆ อาจจะพอสร้างสีสันให้เวทีซักฟอกหนนี้ได้ไม่มากก็น้อย


แต่หลักๆที่พรรคเพื่อไทยจะหยิบมาเล่นงาน “อภิสิทธิ์” ก็คงเป็นวิวาทะต่อเนื่องกรณี “รัฐบาลมือเปื้อนเลือด” สั่งสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง เมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค.53 พร้อมเปิดหลักฐานใหม่ๆที่อ้างว่าไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน โดยเตรียมให้ “ไอ้ตู่-จตุพร พรหมพันธุ์” แกนนำคนเสื้อแดง ในคราบ ส.ส.เพื่อไทย ไล่เบี้ยนายกฯด้วยตัวเองตามเคย คาดว่าเรื่องนี้น่าจะใช้เวลาพูดกันมากกว่า 1 วัน เพราะแค่การประท้วงก็คงกินเวลาไปเสียครึ่งหนึ่งแล้ว ส่วนเรื่องการถือสัญชาติอังกฤษของนายกฯ ก็เชื่อว่าจะมีการ “จับให้มั่น คั้นให้ตาย” โชว์เอกสารที่ไปเซาะแสวงหามาจากทางการอังกฤษในเวทีนี้ ต่อเนื่องจากการอภิปรายการแถลงนโยบายของรัฐบาลเมื่อเดือนก่อน ก็คงเป็นสัมปทานของ “ไอ้ตู่” อีกเช่นเคย
เบ็ดเสร็จแล้ว “ศึกซักฟอก” ครั้งนี้จะถือเป็นเวทีสุดท้ายที่ทั้งฝ่ายค้านที่นำโดยพรรคเพื่อไทย และฝ่ายรัฐบาลที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ จะได้แสดงฝีมือการทำหน้าที่ “ผู้ทรงเกียรติ” ให้ชาวบ้านได้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ก่อนเข้าสู่ “โหมดเลือกตั้ง” กันอย่างเต็มตัว
แน่นอนว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะผนึกกำลัง “โหวตหนุน” ทั้ง 10 รัฐมนตรีอย่างไม่มีผิดคิว เพียงแต่สิ่งที่สังคมอยากเห็นนั้นคือเวทีที่ทำหน้าที่ “ตรวจสอบ” การทำหน้าที่ของรัฐบาลอย่างแท้จริง ไม่ได้หวังให้เป็นโอกาส “ฟอกขาว” ให้บุคคลหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
ท้ายที่สุดคงได้แต่หวังว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะทำหน้าที่อย่างสมศักดิ์ศรี ไม่ใช้การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นแค่ “พิธีกรรม” เหมือนการ “แก้บน” ที่ต้องทำเป็นประจำทุกปีเท่านั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น