เช้าตรู่วันที่ 14 มีนาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่งได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ซึ่งรับนโยบายมาจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ให้ไปรื้อห้องสุขาชั่วคราวของกลุ่มผู้ชุมนุมที่สะพานมัฆวานฯ และถ้าหากเป็นไปได้ที่จะสลายการชุมนุมก็จะเป็นการดี แต่เมื่อเจอผู้ชุมนุมจำนวนมาก เจอการถ่ายทอดสดและการบันทึกภาพของสำนักข่าวต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ถอยออกไป รอจังหวะที่จะปฏิบัติการใหม่ต่อไป
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีย่อมทนไม่ได้กับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะยิ่งชุมนุมตัวตนของนายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ที่นายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรคก็ถูกเปลือยอย่างล่อนจ้อน ไม่หลงเหลือคราบความเป็นผู้ดี คราบความเป็นนักประชาธิปไตยหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์หรือพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยคัดค้านกฎหมายความมั่นคงอย่างแข็งขันสมัยที่ทักษิณเสนอเข้าสู่สภา กลายเป็นรัฐบาลที่ประกาศใช้กฎหมายเผด็จการนี้นานที่สุด กฎหมายที่บังคับใช้กับการชุมนุมประท้วงที่จะต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนการชุมนุมสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ สภาที่มาจากการแต่งตั้งไม่กล้าผ่าน มาถึงรัฐบาลสมัคร สมชาย มีความพยายามที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของสภา แต่พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นฝ่ายค้านคัดค้านอย่างแข็งขัน บอกว่าเป็นกฎหมายที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่เป็นเผด็จการ ลิดรอนสิทธิ ลิดรอนเสรีภาพของประชาชน
มาบัดนี้สภาผู้แทนราษฎรที่พรรคประชาธิปัตย์กุมเสียงข้างมากรับหลักการในวาระที่ 1 ไปแล้ว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เคยยืนยันในสภาผู้แทนราษฎรว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทย ทำไมรัฐบาล (นายสมัคร) ปล่อยให้กัมพูชามาสร้างวัด สร้างชุมชน ทำไมรัฐบาลไม่จัดการ มาบัดนี้นายอภิสิทธิ์มาเป็นนายกรัฐมนตรี วัด ชุมชนยังอยู่เหมือนเดิม ประชาชนออกมาเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์จัดการ นายอภิสิทธิ์กลับพยายามที่จะจัดการกับประชาชนที่มาชุมนุม
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่เคยเตือนสติรัฐบาลนายสมัครว่า ไม่ต้องรอให้ประชาชนมาเป็นหมื่นเป็นแสน เสียงเดียวก็ต้องรับฟัง บัดนี้นายอภิสิทธิ์พูดถึงประชาชนที่มาชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลห่วงใยพื้นดินที่ถูกกัมพูชารุกเข้ามาว่า เป็นคนกลุ่มน้อยที่เสียงดัง
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หากเราจะให้ความสำคัญต่อนักเคลื่อนไหวอย่างเดียวบ้านเมืองก็จะวนเวียนอยู่อย่างนี้ และกลายเป็นว่าเสียงส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้มีโอกาสสะท้อนออกมาเท่ากับประเด็นที่เป็นเสียงดังๆ ของนักเคลื่อนไหวกับนักการเมือง
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตอนนี้ปัญหาบ้านเมืองก็ควรจะเดินหน้า และเห็นว่าสิ่งที่ประชาชนต้องการก็คือ การแก้ปัญหาเรื่องปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจ ไม่อยากให้คนจำนวนหนึ่งจะเป็นนักการเมือง อดีตนักการเมือง หรือนักเคลื่อนไหวทำให้ประเด็นของประเทศถูกเบี่ยงเบนไปจากความต้องการและความเดือดร้อนของประชาชนอย่างแท้จริง เมื่อเรากำหนดชัดเจนขึ้นแล้วว่าการยุบสภาไม่เกินสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม ทุกคนควรเข้ามาสู่ระบบนี้จะดีกว่า และให้พี่น้องชี้ขาดว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร แต่ถ้าเราให้ความสำคัญต่อนักการเมือง นักเคลื่อนไหวอย่างเดียว บ้านเมืองก็จะวนเวียนอยู่อย่างนี้
ฟังเหมือนจะดูดี
แต่ที่ดูไม่ดีเพราะคนฟังเขารู้กำพืด รู้ความคิด รู้คำพูดคำจาของนายอภิสิทธิ์กันเป็นอย่างดีแล้วนั่นเอง
บ้านเมืองที่วนเวียนอยู่อย่างนี้ก็เพราะเรามีนักการเมืองอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายบรรหาร ศิลปอาชา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายเสนาะ เทียนทอง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายสุวิทย์ คุณกิตติ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ฯลฯ นี่เอง มิใช่เพราะนักเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างที่นายอภิสิทธิ์พูด
และว่าไปแล้ว นายอภิสิทธิ์ก็เคยเกาะเกี่ยวห้อยโหนนักเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือนักการเมืองที่ออกมาเคลื่อนไหวมาแล้ว อย่างเมื่อคราวที่คัดค้านรัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย ต่อเมื่อสามารถโอบกอดกับนักการเมืองที่ช่วยให้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้นั่นดอก นายอภิสิทธิ์จึงได้รังเกียจการเคลื่อนไหวทางการเมือง และเสพสมพรหมพรกับการเมืองที่นายอภิสิทธิ์เคยพูดว่าเป็นการเมืองที่ล้มเหลว ลืมคำประกาศที่บอกว่าจะแก้ไขการเมืองที่ล้มเหลว หากแต่อุ้มชูเกื้อกูลการเมืองที่ล้มเหลวเพราะเป็นหนทางที่ทำให้ก้าวไปถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาแล้ว และยังเชื่อว่าจะทำให้เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกในอนาคต
นายอภิสิทธิ์พูดถึงทักษิณว่า พูดกลับกลอกโดยที่ไม่ได้มองดูตัวเองเลยว่า อยู่ในไฟลัมหรือสปีชีส์เดียวกันกับทักษิณหรือไม่ ต่างกันตรงไหน?
นายอภิสิทธิ์บอกว่า ปัญหาที่ประชาชนต้องการขณะนี้คือการแก้ปัญหาปากท้อง แก้ปัญหาเศรษฐกิจ นายอภิสิทธิ์ได้แก้ไขอะไรบ้าง นอกจากทำให้ประชาชนซื้อน้ำตาลแพงขึ้น เข้าคิวซื้อน้ำมันพืชที่แพงขึ้น ซื้อไข่ที่นายอภิสิทธิ์คิดได้ว่าจะต้องซื้อขายกันเป็นกิโลแทนที่จะเป็นฟองอย่างเดิม
บริษัทต่างชาติสำแดงราคาอันเป็นเท็จ ว่านำเข้าบุหรี่ซองละ 7 บาทกว่า อัยการ กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต กรมสอบสวนคดีพิเศษกำลังจะฟ้องเรียกภาษี 6.8 รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ให้ทบทวนในที่สุด อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง
เรื่องอย่างนี้นายอภิสิทธิ์ไม่รู้สึกละอายเลยแม้แต่น้อยนิด ลืมกฎเหล็กที่เคยประกาศอย่างแข็งขันว่า นักการเมืองจะต้องมีมาตรฐานสูงกว่าเรื่องทั่วไป
มันน่าหัวร่อก็ตรงที่ 2 ปีที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี พ่อค้านักธุรกิจพูดกันแซดว่าต้องจ่ายคอมมิชชันมากกว่ายุคไหนๆ
รู้ไว้ด้วยนายอภิสิทธิ์ บ้านเมืองที่วนเวียนเน่าเฟะอยู่อย่างนี้ก็เพราะมีนักการเมืองอย่างคุณนี่แหละ
ดูตัวเองก่อน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีย่อมทนไม่ได้กับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะยิ่งชุมนุมตัวตนของนายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ที่นายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรคก็ถูกเปลือยอย่างล่อนจ้อน ไม่หลงเหลือคราบความเป็นผู้ดี คราบความเป็นนักประชาธิปไตยหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์หรือพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยคัดค้านกฎหมายความมั่นคงอย่างแข็งขันสมัยที่ทักษิณเสนอเข้าสู่สภา กลายเป็นรัฐบาลที่ประกาศใช้กฎหมายเผด็จการนี้นานที่สุด กฎหมายที่บังคับใช้กับการชุมนุมประท้วงที่จะต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนการชุมนุมสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ สภาที่มาจากการแต่งตั้งไม่กล้าผ่าน มาถึงรัฐบาลสมัคร สมชาย มีความพยายามที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของสภา แต่พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นฝ่ายค้านคัดค้านอย่างแข็งขัน บอกว่าเป็นกฎหมายที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่เป็นเผด็จการ ลิดรอนสิทธิ ลิดรอนเสรีภาพของประชาชน
มาบัดนี้สภาผู้แทนราษฎรที่พรรคประชาธิปัตย์กุมเสียงข้างมากรับหลักการในวาระที่ 1 ไปแล้ว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เคยยืนยันในสภาผู้แทนราษฎรว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทย ทำไมรัฐบาล (นายสมัคร) ปล่อยให้กัมพูชามาสร้างวัด สร้างชุมชน ทำไมรัฐบาลไม่จัดการ มาบัดนี้นายอภิสิทธิ์มาเป็นนายกรัฐมนตรี วัด ชุมชนยังอยู่เหมือนเดิม ประชาชนออกมาเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์จัดการ นายอภิสิทธิ์กลับพยายามที่จะจัดการกับประชาชนที่มาชุมนุม
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่เคยเตือนสติรัฐบาลนายสมัครว่า ไม่ต้องรอให้ประชาชนมาเป็นหมื่นเป็นแสน เสียงเดียวก็ต้องรับฟัง บัดนี้นายอภิสิทธิ์พูดถึงประชาชนที่มาชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลห่วงใยพื้นดินที่ถูกกัมพูชารุกเข้ามาว่า เป็นคนกลุ่มน้อยที่เสียงดัง
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หากเราจะให้ความสำคัญต่อนักเคลื่อนไหวอย่างเดียวบ้านเมืองก็จะวนเวียนอยู่อย่างนี้ และกลายเป็นว่าเสียงส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้มีโอกาสสะท้อนออกมาเท่ากับประเด็นที่เป็นเสียงดังๆ ของนักเคลื่อนไหวกับนักการเมือง
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตอนนี้ปัญหาบ้านเมืองก็ควรจะเดินหน้า และเห็นว่าสิ่งที่ประชาชนต้องการก็คือ การแก้ปัญหาเรื่องปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจ ไม่อยากให้คนจำนวนหนึ่งจะเป็นนักการเมือง อดีตนักการเมือง หรือนักเคลื่อนไหวทำให้ประเด็นของประเทศถูกเบี่ยงเบนไปจากความต้องการและความเดือดร้อนของประชาชนอย่างแท้จริง เมื่อเรากำหนดชัดเจนขึ้นแล้วว่าการยุบสภาไม่เกินสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม ทุกคนควรเข้ามาสู่ระบบนี้จะดีกว่า และให้พี่น้องชี้ขาดว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร แต่ถ้าเราให้ความสำคัญต่อนักการเมือง นักเคลื่อนไหวอย่างเดียว บ้านเมืองก็จะวนเวียนอยู่อย่างนี้
ฟังเหมือนจะดูดี
แต่ที่ดูไม่ดีเพราะคนฟังเขารู้กำพืด รู้ความคิด รู้คำพูดคำจาของนายอภิสิทธิ์กันเป็นอย่างดีแล้วนั่นเอง
บ้านเมืองที่วนเวียนอยู่อย่างนี้ก็เพราะเรามีนักการเมืองอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายบรรหาร ศิลปอาชา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายเสนาะ เทียนทอง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายสุวิทย์ คุณกิตติ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ฯลฯ นี่เอง มิใช่เพราะนักเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างที่นายอภิสิทธิ์พูด
และว่าไปแล้ว นายอภิสิทธิ์ก็เคยเกาะเกี่ยวห้อยโหนนักเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือนักการเมืองที่ออกมาเคลื่อนไหวมาแล้ว อย่างเมื่อคราวที่คัดค้านรัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย ต่อเมื่อสามารถโอบกอดกับนักการเมืองที่ช่วยให้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้นั่นดอก นายอภิสิทธิ์จึงได้รังเกียจการเคลื่อนไหวทางการเมือง และเสพสมพรหมพรกับการเมืองที่นายอภิสิทธิ์เคยพูดว่าเป็นการเมืองที่ล้มเหลว ลืมคำประกาศที่บอกว่าจะแก้ไขการเมืองที่ล้มเหลว หากแต่อุ้มชูเกื้อกูลการเมืองที่ล้มเหลวเพราะเป็นหนทางที่ทำให้ก้าวไปถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาแล้ว และยังเชื่อว่าจะทำให้เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกในอนาคต
นายอภิสิทธิ์พูดถึงทักษิณว่า พูดกลับกลอกโดยที่ไม่ได้มองดูตัวเองเลยว่า อยู่ในไฟลัมหรือสปีชีส์เดียวกันกับทักษิณหรือไม่ ต่างกันตรงไหน?
นายอภิสิทธิ์บอกว่า ปัญหาที่ประชาชนต้องการขณะนี้คือการแก้ปัญหาปากท้อง แก้ปัญหาเศรษฐกิจ นายอภิสิทธิ์ได้แก้ไขอะไรบ้าง นอกจากทำให้ประชาชนซื้อน้ำตาลแพงขึ้น เข้าคิวซื้อน้ำมันพืชที่แพงขึ้น ซื้อไข่ที่นายอภิสิทธิ์คิดได้ว่าจะต้องซื้อขายกันเป็นกิโลแทนที่จะเป็นฟองอย่างเดิม
บริษัทต่างชาติสำแดงราคาอันเป็นเท็จ ว่านำเข้าบุหรี่ซองละ 7 บาทกว่า อัยการ กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต กรมสอบสวนคดีพิเศษกำลังจะฟ้องเรียกภาษี 6.8 รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ให้ทบทวนในที่สุด อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง
เรื่องอย่างนี้นายอภิสิทธิ์ไม่รู้สึกละอายเลยแม้แต่น้อยนิด ลืมกฎเหล็กที่เคยประกาศอย่างแข็งขันว่า นักการเมืองจะต้องมีมาตรฐานสูงกว่าเรื่องทั่วไป
มันน่าหัวร่อก็ตรงที่ 2 ปีที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี พ่อค้านักธุรกิจพูดกันแซดว่าต้องจ่ายคอมมิชชันมากกว่ายุคไหนๆ
รู้ไว้ด้วยนายอภิสิทธิ์ บ้านเมืองที่วนเวียนเน่าเฟะอยู่อย่างนี้ก็เพราะมีนักการเมืองอย่างคุณนี่แหละ
ดูตัวเองก่อน