ท่านทั้งหลาย การที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษที่สถาบันพระปกเกล้า วันที่ 5 มีนาคม ในหัวข้อ “ผู้นำยุคใหม่กับการสร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืน” ให้กับนักศึกษาสถาบันฯ ตอนหนึ่งว่า “ประชาธิปไตยของไทยได้มีการพัฒนามาโดยตลอด ตั้งแต่ 15 ตุลาคม 2516 และลงรากลึกมากยิ่งขึ้น หลังจากที่เรามีรัฐธรรมนูญ 2521 หลังจากนั้นแม้จะมีการทำรัฐประหาร เช่น ในปี 2534 และ 2549 ผู้กระทำการรัฐประหารก็ยังต้องเร่งคืนประชาธิปไตยให้กับประชาชน ... และได้พูดย้ำว่า “ผมอยากให้คนรุ่นใหม่มีความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นหัวใจสำคัญ เนื่องจากปัจจุบันสังคมมองว่า การทุจริตที่มีมากขึ้น เป็นเรื่องความชินชา และการยอมรับของสังคมมากขึ้น เป็นเรื่องที่น่าวิตกและอันตรายมาก”
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “สิ่งหนึ่งที่มีส่วนสำคัญที่ทำให้ประชาธิปไตยไทยอ่อนแอ คือมีคนบางกลุ่มนิยมใช้ความรุนแรงมากขึ้น หรือเป็นกลุ่มบุคคลที่มีความคิดสุดโต่ง แม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่สามารถกำหนดประเด็น และทิศทางของสังคมได้มาก ดังนั้น จะทำอย่างไรที่จะให้คนส่วนใหญ่ที่ไม่ยอมรับความรุนแรง มีโอกาสเข้ามากำหนดทิศทาง และนำพาสังคมให้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง”...
ดูจากหัวข้อปาฐกถา “ผู้นำยุคใหม่กับการสร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืน” เป็นหัวข้อที่ดีมากๆ บอกนัยสำคัญยิ่งว่า ประเทศไทยเรายังไม่ได้สร้างระบอบประชาธิปไตย และจะสร้างอย่างไรให้ยั่งยืน นี่คือหัวข้อที่ตั้งไว้นี้ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงสภาวการณ์ของประเทศไทย สภาวการณ์ของประเทศไทยเป็นประเทศเผด็จการโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ เมื่อสภาพความเป็นจริงมันเป็นเผด็จการ ก็แน่นอนว่าสิ่งที่จะตามมาเป็นคู่เหตุ คู่ผล ก็คือรัฐประหาร
การปกครองแบบเผด็จการทุกรูปแบบ อำนาจอธิปไตยเป็นของชนส่วนน้อยคือผู้ปกครองเพียงหยิบมือเดียว ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดปัญหาการปกครองไม่เป็นธรรมในด้านต่างๆ เช่น ความไม่เสมอภาคทางการปกครอง การคอร์รัปชันอย่างขนาดใหญ่ที่ไม่อาจจะหยุดยั้งได้ ปัญหาเศรษฐกิจ มีการผูกขาด และการกระชับรวมศูนย์ทุน สมบัติแห่งชาติ 90% ตกเป็นของคนร่ำรวยเพียง 10% ที่เหลือ 10% แบ่งกันในหมู่คนไทย 90% ของประเทศ ความเลื่อมล้ำทางสังคม นี่คือสัมพันธภาพชาติที่ใกล้จะระเบิด และนำไปสู่ความล่มสลายหายนะของชาติ
เมื่อสภาพความเป็นจริงมันยังไม่เป็น มันยังไม่มีระบอบประชาธิปไตย ยังไม่มีการสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมหรือระบอบการปกครองโดยธรรม มันจึงยังพัฒนาไม่ได้ ต้นไม้ยังไม่ได้ปลูกแล้วมันจะพัฒนาได้อย่างไร ภาพที่ปรากฏคือทุกครั้งหลังรัฐประหารคือ มีคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ร่างเสร็จไม่นานก็ถูกรัฐประหาร รัฐประหารเสร็จก็แต่งตั้งคณะกรรมการมาสุมหัวร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่...นับได้ 18 ฉบับ มากมายที่สุดในโลก จนกลายเป็นวงจรอุบาทว์
แต่...นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ พูดตอนหนึ่งว่า “ประชาธิปไตยของไทยได้มีการพัฒนามาโดยตลอด ตั้งแต่ 15 ตุลาคม 2516 และลงรากลึกมากยิ่งขึ้น หลังจากที่เรามีรัฐธรรมนูญ 2521
ระบอบประชาธิปไตยมันยังไม่เกิด ที่เกิดนะ รัฐธรรมนูญกับระบบรัฐสภา ส่วนหัวใจของการปกครองระบอบนั้นยังไม่มี ใครที่เข้าใจว่าการปกครองโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญกับระบบรัฐสภานี่คือระบอบประชาธิปไตย ก็มีเพียงพวกผู้ปกครองนักการเมืองเท่านั้นแหละ ออกกฎหมายมาทำลายประเทศชาติและประชาชนของตนเอง อนุมัติผ่านตลอด ช่างไม่รู้เอาเสียเลย น่าเสียดายจริงๆ
นี่คือตัวอย่างหนึ่งของการบิดเบือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนแล้วคนเล่าของนายกรัฐมนตรีไทย รวมทั้งนายอภิสิทธิ์ รายล่าสุดหรือเพราะความไม่รู้จริงๆ
ใครก็ตามที่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้ระบอบเผด็จการ แต่กลับบิดเบือนหลอกลวงว่าเป็นประชาธิปไตย ล้วนแล้วเสียผู้เสียคน แต่ที่เสียหายร้ายแรงคือโอกาสของชาติ โอกาสของประชาชนที่สูญเสียไปอย่างประเมินค่าไม่ได้ ประเทศของเรา ประชาชนของเราถูกทำลายจากลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ โดยที่พวกผู้ปกครองหลอกว่านี่คือระบอบประชาธิปไตย ดังที่นายอภิสิทธิ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า
“แม้จะมีการทำรัฐประหาร เช่น ในปี 2534 และ 2549 ผู้กระทำการรัฐประหารก็ยังต้องเร่งคืนประชาธิปไตยให้กับประชาชน” เห็นไหมละว่า นายอภิสิทธิ์ ท่านไม่เข้าใจเรื่องระบอบประชาธิปไตยเอาเสียเลย สงสัยจะเรียนรู้การเมืองจากหน้าหนังสือพิมพ์ เสียฟอร์มที่จบมาจากอังกฤษ ความจริงคณะรัฐประหารก็เป็นขั้วสุดโต่งอีกด้านหนึ่งของเผด็จการลัทธิรัฐธรรมนูญ อย่างที่เคยบอกมันเป็นคู่เหตุคู่ผลของระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ พี่น้องครับไม่มีประเทศประชาธิปไตย (จริงๆ) ที่ไหนในโลก ที่จะเกิดรัฐประหารขึ้นได้ เช่น มาเลเซีย อินเดีย อังกฤษ ญี่ปุ่น อเมริกา เป็นต้น
ผู้ปกครองไทยเราสูงสุดยันต่ำสุด เขาไม่ยอมรับความจริงว่านี่คือระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา มันเป็นเหตุร้ายทำลายชาติเราในทุกทาง ดังนั้น พวกเราพสกนิกร ปวงชนทุกหมู่เหล่าจะได้ร่วมมือกันแก้ไขให้เป็นระบอบประชาธิปไตยจริงๆ เบื้องต้นเป็นบันไดก้าวแรกคือ ร่วมมือกันผลักดันโดยการชูป้าย ส่งเสียงร้อง 3 ครั้ง “ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ขอพระราชทานสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9” หลังพระองค์ทรงพระราชทานสถาปนาฯ แล้ว ปวงชนไทยจึงจะได้ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงอย่างยั่งยืน จากนั้นจึงค่อยมาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็จะได้รัฐธรรมนูญที่มีระบอบโดยธรรมเป็นธรรมาธิปไตยของปวงชนไทยทุกคน แค่เนี้ย ง่ายมากๆ แต่นายกฯ อภิสิทธิ์ ไม่เอา เพราะแท้จริง ท่านและพวกของท่าน พรรคประชาธิปัตย์ คือเจ้าลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญตัวพ่อมายาวนานที่สุด
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “สิ่งหนึ่งที่มีส่วนสำคัญที่ทำให้ประชาธิปไตยไทยอ่อนแอ คือมีคนบางกลุ่มนิยมใช้ความรุนแรงมากขึ้น หรือเป็นกลุ่มบุคคลที่มีความคิดสุดโต่ง แม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่สามารถกำหนดประเด็น และทิศทางของสังคมได้มาก ดังนั้น จะทำอย่างไรที่จะให้คนส่วนใหญ่ที่ไม่ยอมรับความรุนแรง มีโอกาสเข้ามากำหนดทิศทาง และนำพาสังคมให้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง”...
ดูจากหัวข้อปาฐกถา “ผู้นำยุคใหม่กับการสร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืน” เป็นหัวข้อที่ดีมากๆ บอกนัยสำคัญยิ่งว่า ประเทศไทยเรายังไม่ได้สร้างระบอบประชาธิปไตย และจะสร้างอย่างไรให้ยั่งยืน นี่คือหัวข้อที่ตั้งไว้นี้ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงสภาวการณ์ของประเทศไทย สภาวการณ์ของประเทศไทยเป็นประเทศเผด็จการโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ เมื่อสภาพความเป็นจริงมันเป็นเผด็จการ ก็แน่นอนว่าสิ่งที่จะตามมาเป็นคู่เหตุ คู่ผล ก็คือรัฐประหาร
การปกครองแบบเผด็จการทุกรูปแบบ อำนาจอธิปไตยเป็นของชนส่วนน้อยคือผู้ปกครองเพียงหยิบมือเดียว ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดปัญหาการปกครองไม่เป็นธรรมในด้านต่างๆ เช่น ความไม่เสมอภาคทางการปกครอง การคอร์รัปชันอย่างขนาดใหญ่ที่ไม่อาจจะหยุดยั้งได้ ปัญหาเศรษฐกิจ มีการผูกขาด และการกระชับรวมศูนย์ทุน สมบัติแห่งชาติ 90% ตกเป็นของคนร่ำรวยเพียง 10% ที่เหลือ 10% แบ่งกันในหมู่คนไทย 90% ของประเทศ ความเลื่อมล้ำทางสังคม นี่คือสัมพันธภาพชาติที่ใกล้จะระเบิด และนำไปสู่ความล่มสลายหายนะของชาติ
เมื่อสภาพความเป็นจริงมันยังไม่เป็น มันยังไม่มีระบอบประชาธิปไตย ยังไม่มีการสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมหรือระบอบการปกครองโดยธรรม มันจึงยังพัฒนาไม่ได้ ต้นไม้ยังไม่ได้ปลูกแล้วมันจะพัฒนาได้อย่างไร ภาพที่ปรากฏคือทุกครั้งหลังรัฐประหารคือ มีคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ร่างเสร็จไม่นานก็ถูกรัฐประหาร รัฐประหารเสร็จก็แต่งตั้งคณะกรรมการมาสุมหัวร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่...นับได้ 18 ฉบับ มากมายที่สุดในโลก จนกลายเป็นวงจรอุบาทว์
แต่...นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ พูดตอนหนึ่งว่า “ประชาธิปไตยของไทยได้มีการพัฒนามาโดยตลอด ตั้งแต่ 15 ตุลาคม 2516 และลงรากลึกมากยิ่งขึ้น หลังจากที่เรามีรัฐธรรมนูญ 2521
ระบอบประชาธิปไตยมันยังไม่เกิด ที่เกิดนะ รัฐธรรมนูญกับระบบรัฐสภา ส่วนหัวใจของการปกครองระบอบนั้นยังไม่มี ใครที่เข้าใจว่าการปกครองโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญกับระบบรัฐสภานี่คือระบอบประชาธิปไตย ก็มีเพียงพวกผู้ปกครองนักการเมืองเท่านั้นแหละ ออกกฎหมายมาทำลายประเทศชาติและประชาชนของตนเอง อนุมัติผ่านตลอด ช่างไม่รู้เอาเสียเลย น่าเสียดายจริงๆ
นี่คือตัวอย่างหนึ่งของการบิดเบือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนแล้วคนเล่าของนายกรัฐมนตรีไทย รวมทั้งนายอภิสิทธิ์ รายล่าสุดหรือเพราะความไม่รู้จริงๆ
ใครก็ตามที่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้ระบอบเผด็จการ แต่กลับบิดเบือนหลอกลวงว่าเป็นประชาธิปไตย ล้วนแล้วเสียผู้เสียคน แต่ที่เสียหายร้ายแรงคือโอกาสของชาติ โอกาสของประชาชนที่สูญเสียไปอย่างประเมินค่าไม่ได้ ประเทศของเรา ประชาชนของเราถูกทำลายจากลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ โดยที่พวกผู้ปกครองหลอกว่านี่คือระบอบประชาธิปไตย ดังที่นายอภิสิทธิ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า
“แม้จะมีการทำรัฐประหาร เช่น ในปี 2534 และ 2549 ผู้กระทำการรัฐประหารก็ยังต้องเร่งคืนประชาธิปไตยให้กับประชาชน” เห็นไหมละว่า นายอภิสิทธิ์ ท่านไม่เข้าใจเรื่องระบอบประชาธิปไตยเอาเสียเลย สงสัยจะเรียนรู้การเมืองจากหน้าหนังสือพิมพ์ เสียฟอร์มที่จบมาจากอังกฤษ ความจริงคณะรัฐประหารก็เป็นขั้วสุดโต่งอีกด้านหนึ่งของเผด็จการลัทธิรัฐธรรมนูญ อย่างที่เคยบอกมันเป็นคู่เหตุคู่ผลของระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ พี่น้องครับไม่มีประเทศประชาธิปไตย (จริงๆ) ที่ไหนในโลก ที่จะเกิดรัฐประหารขึ้นได้ เช่น มาเลเซีย อินเดีย อังกฤษ ญี่ปุ่น อเมริกา เป็นต้น
ผู้ปกครองไทยเราสูงสุดยันต่ำสุด เขาไม่ยอมรับความจริงว่านี่คือระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา มันเป็นเหตุร้ายทำลายชาติเราในทุกทาง ดังนั้น พวกเราพสกนิกร ปวงชนทุกหมู่เหล่าจะได้ร่วมมือกันแก้ไขให้เป็นระบอบประชาธิปไตยจริงๆ เบื้องต้นเป็นบันไดก้าวแรกคือ ร่วมมือกันผลักดันโดยการชูป้าย ส่งเสียงร้อง 3 ครั้ง “ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ขอพระราชทานสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9” หลังพระองค์ทรงพระราชทานสถาปนาฯ แล้ว ปวงชนไทยจึงจะได้ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงอย่างยั่งยืน จากนั้นจึงค่อยมาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็จะได้รัฐธรรมนูญที่มีระบอบโดยธรรมเป็นธรรมาธิปไตยของปวงชนไทยทุกคน แค่เนี้ย ง่ายมากๆ แต่นายกฯ อภิสิทธิ์ ไม่เอา เพราะแท้จริง ท่านและพวกของท่าน พรรคประชาธิปัตย์ คือเจ้าลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญตัวพ่อมายาวนานที่สุด