xs
xsm
sm
md
lg

เอ็กโกลุ้นชนะประมูลSPPเพิ่ม2โรง จ่อขยายโรงไฟฟ้าเพิ่มที่ฟิลิปปินส์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - “ เอ็กโก”มั่นใจคว้า 2โครงการSPPในกรอบการรับซื้อไฟฟ้าแบบโคเจเนอเรชั่นเพิ่มเติมอีก 1,500 เมกะวัตต์ คิดเป็นกำลังการผลิตโรงละ 120เมกะวัตต์ และมีแผนขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ฟิลิปปินส์เพิ่ม รวมกับการเข้าถือหุ้น 12.5%ในโครงการโรงไฟฟ้าไซยะบุรีขนาด 1285 เมกะวัตต์ ทำให้บริษัทฯมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเฉียด 5,000 เมกะวัตต์
 

นายวินิจ แตงน้อย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน)(EGCO) เปิดเผยว่าบริษัทฯมั่นใจว่าได้รับเลือกให้เป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กแบบโคเจเนอชั่น (SPP)ภายใต้กรอบการรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มเติมอีก 1,500 เมกะวัตต์จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)จำนวน 2 โครงการ ขนาดกำลังผลิต 120 เมกะวัตต์/โครงการ คาดว่าจะประกาศผลอย่างเป็นทางการในไตรมาสแรกนี้

ทั้งนี้ โครงการSPPที่คาดว่าจะได้รับคัดเลือกทั้ง 2แห่ง เบื้องต้นบริษัทฯจะถือหุ้น 100% แต่ก็เปิดช่องให้ลูกค้าที่ซื้อไฟและไอน้ำรายใหญ่เข้ามาร่วมถือหุ้นด้วย รวมทั้งยังมีแผนขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าที่โครงการเควซอน เนื่องจากฟิลิปปินส์ยังขาดแคลนไฟฟ้าอีกมาก ซึ่งปัจจุบันโรงไฟฟ้าเควซอนมีกำลังการผลิตอยู่ 460 เมกะวัตต์ โดยเอ็กโกเข้าไปถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 52.125% และมีแผนจะขยายกำลังการผลิตโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในไทยเพิ่มเติมอีก

นายวินิจ กล่าวต่อไปว่า จากการที่บริษัทฯเข้าไปถือหุ้นในบริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัดจากช.การช่าง ในสัดส่วน 12.5% ของหุ้นทั้งหมดในโครงการโรงไฟฟ้าไซยะบุรี ที่สปป.ลาว ขนาดกำลังผลิต 1,285 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าแบบพลังน้ำแบบฝายน้ำล้น คาดโครงการนี้จะใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 1.15 แสนล้านบาท ใช้เวลาก่อสร้าง 8ปี จะดำเนินการผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ม.ค. 2562
 
โครงการดังกล่าวได้มีการศึกษาปริมาณน้ำ เชื่อว่าไม่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนที่จีนจะทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงลดลง แต่จะช่วยชะลอแม่น้ำโขงไม่ให้แห้งเร็ว และเป็นโครงการที่ส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมน้อยเพราะไม่ได้สร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่

โครงสร้างการถือหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าไซยะบุรี ประกอบด้วยช.การช่าง 57.5% นที ซินเนอร์ยี่ (ในเครือปตท.) 25% เอ็กโก 25% และบริษัท พี.ที. คอนสตรัคชั่น แอนด์ อิริเกชั่น 5% ซึ่ง บริษัทฯพร้อมที่จะซื้อหุ้นในไซยะบุรีเพิ่มเติม หากผู้ถือหุ้นใหญ่อย่างช.การช่างขายหุ้นออกมาหลังโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ

นายวินิจ กล่าวต่อไปว่า จากโครงการลงทุนดังกล่าวข้างต้นนี้ เมื่อรวมกับโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการไม่ว่าจะเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ที่ลพบุรี 55 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าเอสพีพีแบบโคเจนฯที่ได้รับคัดเลือกไปก่อนหน้านี้ 120 เมกะวัตต์ ทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าของเอ็กโกใกล้เคียง 5,000 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตรวม 4,361 เมกะวัตต์

นอกจากนี้ บริษัทฯยังมองหาโอกาสการลงทุนเพิ่มเติมในโรงไฟฟ้าในอาเซียนทั้งฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และลาว ซึ่งการมีพันธมิตรทางธุรกิจอย่างโตเกียว อิเล็กทริก พาวเวอร์ (TEPCO) และมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจ เนื่องจากTEPCO มีความแข็งแกร่งด้านการรับเดินเครื่องและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าและสร้างโรงไฟฟ้า
อีกทั้งความสัมพันธ์ที่ดีกับธนาคารเพื่อความร่วมมือแห่งประเทศญี่ปุ่น (เจบิก) และTEPCOตั้งงบลงทุนธุรกิจในต่างประเทศประมาณ 2 แสนกว่าล้านบาทในปี 2663

ทั้งนี้ ผู้บริหารของTEPCO ได้ยืนยันว่าการเข้ามาถือหุ้นร่วมกับมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่นแทนซีแอลพี โฮลดิ้งฯนั้น เป็นการลงทุนระยะยาว โดยมองเอ็กโกเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่พร้อมจะร่วมงานกันอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ในเร็วๆนี้ บริษัทฯจะหารือกับTEPCO เพื่อกำหนดทิศทางการทำกลยุทธ์ทางธุรกิจไฟฟ้าร่วมกันในอนาคต

สำหรับผลการดำเนินงานของเอ็กโกในปีนี้ บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่บริษัทฯมีรายได้รวม 1.51 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิ 6.79 พันล้านบาท จากการรับรู้รายได้น้ำเทิน 2เต็มปี และการเข้าไปถือหุ้นเพิ่มในโรงไฟฟ้าเควซอนอีก 26.125% และมีนโยบายที่จะจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40%ของกำไรสุทธิ แม้ว่ารายได้ค่าไฟฟ้าลดลงจากโรงไฟฟ้าระยองและบีแอลซีพี
รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น