เอ็กโก้ เผยอยู่ระหว่างศึกษาการขยายกำลังผลิตโรงไฟฟ้าเควซอนอีก 500 เมกะวัตต์ โดยเจรจาขายไฟให้การไฟฟ้าในฟิลิปปินส์ เชื่อผู้ถือหุ้นใหม่ “TEPCO” เคลียร์ปัญหาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ หมายเลข 1 ระเบิดได้ ไม่ส่งผลกระทบต่อเอ็กโก้
นายวินิจ แตงน้อย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) (เอ็กโก้) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีแผนศึกษาขยายกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าเควซอน ที่ฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้นอีก 500 เมกะวัตต์ เงินลงทุนรวม 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าของฟิลิปปินส์ เชื่อว่า ฟิลิปปินส์ยังมีความต้องการใช้ไฟฟ้าอยู่
อย่างไรก็ตาม หากตัดสินใจลงทุนโครงการดังกล่าว ทางเอ็กโก้จะเข้าไปลงทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นในโรงไฟฟ้าเควซอน ซึ่งไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทฯจะชำระเงินค่าซื้อหุ้นเพิ่มจากเดิม 26%เป็น 52% ทั้งนี้ แผนการขยายกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าเควซอนเพิ่มขึ้นอีก 500 เมกะวัตต์ ยังไม่ได้รวมอยู่ในงบการลงทุนในปี 2554 ที่ตั้งงบไว้ 6-7 พันล้านบาท ซึ่งงบลงทุนส่วนใหญ่เป็นการลงทุนชำระเงินค่าหุ้นโรงไฟฟ้าเควซอน รวมไปถึงการลงทุนโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ทั้ง 3 โรงๆ ละ 125 เมกะวัตต์ ที่ผ่านการคัดเลือกจาก กฟผ.
สำหรับแผนการลงทุนเพิ่มเติม ในระยะสั้นบริษัทยังเน้นการซื้อกิจการที่มีศักยภาพ หรือร่วมทุนในโครงการที่โรงไฟฟ้าเดินเครื่องอยู่แล้วหรืออยู่ระหว่างการก่อสร้าง และในระยะยาวเข้าไปพัฒนาโครงการใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนลาวหรือประเทศต่างๆ ในอาเซียนไม่ว่าเป็นเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยปีนี้จะมีความชัดเจนการลงทุนโรงไฟฟ้าในอินโดนีเซีย
“บริษัทวางงบลงทุนระยะยาวถึงปี 2562 ไว้ 3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนโรงไฟฟ้าไซยบุรี ตามสัดส่วนการถือหุ้น 12.5% เป็นเงิน 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท ลงทุนโรงไฟฟ้า SPP3 โรง ใช้เงิน 1.5 หมื่นล้านบาท ขยายกำลังผลิตลพบุรีโซลาร์อีก รวมทั้งลงทุนอื่นๆ”
นายวินิจ กล่าวต่อไปว่า บริษัทมีเป้าหมายที่จะรักษาระดับกำไรไม่ต่ำกว่าปีละ 5,000 ล้านบาทระหว่างปี 2554-2558 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 6,000 ล้านบาท ระหว่างปี 2559-2564 โดยปีนี้บริษัทจะมีรายได้จากโรงไฟฟ้าเควซอนที่ฟิลิปปินส์เพิ่มเข้ามาเป็น 1 พันล้านบาท จากปีก่อนที่รับรู้รายได้ประมาณ 500 ล้านบาท หลังจากที่บริษัทได้เข้าถือหุ้นเพิ่มเป็น 52% ซึ่งจะเข้าชดเชยรายได้จากโรงไฟฟ้าระยอง โรงไฟฟ้าขนอมและโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีที่มีรายได้ลดลงตามสัญญาซื้อขายไฟ โดยโรงไฟฟ้าระยองจะหมดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในปี 2558 และโรงไฟฟ้าขนอมหมดสัญญาในปี 2559
นายวินิจ กล่าวถึงผลกระทบกรณีที่บริษัทโตเกียว อิเล็กทริก เพาเวอร์ (TEPCO) ซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานนิวเคลียร์ฟุกุชิมะ หมายเลข 1 ที่เกิดระเบิดจากสาเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิที่ญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11 มี.ค.ที่ผานมา ว่า คงไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ แม้ว่าTEPCO จะเป็นผู้ถือหุ้นใหม่รายใหญ่ เพราะ TEPCO เป็นบริษัทผลิตไฟฟ้าใหญ่อันดับ 4โลก มีกำลังการผลิตรวม 6.4 หมื่นเมกะวัตต์ และมีสินทรัพย์รวม 13,204 พันล้านเยน ซึ่งสัดส่วนการลงทุนในไทยไม่มาก เชื่อว่า ทาง TEPCO จะสามารถแก้ไขปัญหาภายในได้
ก่อนหน้านี้ บริษัทได้เตรียมเจรจากับผู้บริหาร TEPCO ในฐานะผู้ถือหุ้นใหม่ที่เข้ามาถือหุ้นแทน CLP ในเดือนมี.ค.นี้ เพื่อร่วมกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจของเอ็กโกรวมไปถึงความร่วมมือระหว่างกัน เนื่องจาก TEPCO มีแผนลงทุนธุรกิจไฟฟ้าในต่างประเทศวงเงิน 2 แสนกว่าล้านบาทภายใน 10 ปีนี้
สำหรับโรงไฟฟ้าระยอง นายวินิจ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะเจรจาต่ออายุสัญญาซื้อขายไฟออกไป 5 ปี โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม โดยอัตราค่าไฟที่จะเสนอขายต้องไม่สูงกว่าอัตราค่าไฟที่โรงไฟฟ้าใหม่เข้าระบบในช่วงนั้น ได้แก่โรงไฟฟ้าบางคล้า ที่มีอัตราค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 2.76 บาท/หน่วย
นายวินิจ แตงน้อย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) (เอ็กโก้) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีแผนศึกษาขยายกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าเควซอน ที่ฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้นอีก 500 เมกะวัตต์ เงินลงทุนรวม 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าของฟิลิปปินส์ เชื่อว่า ฟิลิปปินส์ยังมีความต้องการใช้ไฟฟ้าอยู่
อย่างไรก็ตาม หากตัดสินใจลงทุนโครงการดังกล่าว ทางเอ็กโก้จะเข้าไปลงทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นในโรงไฟฟ้าเควซอน ซึ่งไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทฯจะชำระเงินค่าซื้อหุ้นเพิ่มจากเดิม 26%เป็น 52% ทั้งนี้ แผนการขยายกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าเควซอนเพิ่มขึ้นอีก 500 เมกะวัตต์ ยังไม่ได้รวมอยู่ในงบการลงทุนในปี 2554 ที่ตั้งงบไว้ 6-7 พันล้านบาท ซึ่งงบลงทุนส่วนใหญ่เป็นการลงทุนชำระเงินค่าหุ้นโรงไฟฟ้าเควซอน รวมไปถึงการลงทุนโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ทั้ง 3 โรงๆ ละ 125 เมกะวัตต์ ที่ผ่านการคัดเลือกจาก กฟผ.
สำหรับแผนการลงทุนเพิ่มเติม ในระยะสั้นบริษัทยังเน้นการซื้อกิจการที่มีศักยภาพ หรือร่วมทุนในโครงการที่โรงไฟฟ้าเดินเครื่องอยู่แล้วหรืออยู่ระหว่างการก่อสร้าง และในระยะยาวเข้าไปพัฒนาโครงการใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนลาวหรือประเทศต่างๆ ในอาเซียนไม่ว่าเป็นเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยปีนี้จะมีความชัดเจนการลงทุนโรงไฟฟ้าในอินโดนีเซีย
“บริษัทวางงบลงทุนระยะยาวถึงปี 2562 ไว้ 3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนโรงไฟฟ้าไซยบุรี ตามสัดส่วนการถือหุ้น 12.5% เป็นเงิน 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท ลงทุนโรงไฟฟ้า SPP3 โรง ใช้เงิน 1.5 หมื่นล้านบาท ขยายกำลังผลิตลพบุรีโซลาร์อีก รวมทั้งลงทุนอื่นๆ”
นายวินิจ กล่าวต่อไปว่า บริษัทมีเป้าหมายที่จะรักษาระดับกำไรไม่ต่ำกว่าปีละ 5,000 ล้านบาทระหว่างปี 2554-2558 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 6,000 ล้านบาท ระหว่างปี 2559-2564 โดยปีนี้บริษัทจะมีรายได้จากโรงไฟฟ้าเควซอนที่ฟิลิปปินส์เพิ่มเข้ามาเป็น 1 พันล้านบาท จากปีก่อนที่รับรู้รายได้ประมาณ 500 ล้านบาท หลังจากที่บริษัทได้เข้าถือหุ้นเพิ่มเป็น 52% ซึ่งจะเข้าชดเชยรายได้จากโรงไฟฟ้าระยอง โรงไฟฟ้าขนอมและโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีที่มีรายได้ลดลงตามสัญญาซื้อขายไฟ โดยโรงไฟฟ้าระยองจะหมดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในปี 2558 และโรงไฟฟ้าขนอมหมดสัญญาในปี 2559
นายวินิจ กล่าวถึงผลกระทบกรณีที่บริษัทโตเกียว อิเล็กทริก เพาเวอร์ (TEPCO) ซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานนิวเคลียร์ฟุกุชิมะ หมายเลข 1 ที่เกิดระเบิดจากสาเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิที่ญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11 มี.ค.ที่ผานมา ว่า คงไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ แม้ว่าTEPCO จะเป็นผู้ถือหุ้นใหม่รายใหญ่ เพราะ TEPCO เป็นบริษัทผลิตไฟฟ้าใหญ่อันดับ 4โลก มีกำลังการผลิตรวม 6.4 หมื่นเมกะวัตต์ และมีสินทรัพย์รวม 13,204 พันล้านเยน ซึ่งสัดส่วนการลงทุนในไทยไม่มาก เชื่อว่า ทาง TEPCO จะสามารถแก้ไขปัญหาภายในได้
ก่อนหน้านี้ บริษัทได้เตรียมเจรจากับผู้บริหาร TEPCO ในฐานะผู้ถือหุ้นใหม่ที่เข้ามาถือหุ้นแทน CLP ในเดือนมี.ค.นี้ เพื่อร่วมกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจของเอ็กโกรวมไปถึงความร่วมมือระหว่างกัน เนื่องจาก TEPCO มีแผนลงทุนธุรกิจไฟฟ้าในต่างประเทศวงเงิน 2 แสนกว่าล้านบาทภายใน 10 ปีนี้
สำหรับโรงไฟฟ้าระยอง นายวินิจ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะเจรจาต่ออายุสัญญาซื้อขายไฟออกไป 5 ปี โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม โดยอัตราค่าไฟที่จะเสนอขายต้องไม่สูงกว่าอัตราค่าไฟที่โรงไฟฟ้าใหม่เข้าระบบในช่วงนั้น ได้แก่โรงไฟฟ้าบางคล้า ที่มีอัตราค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 2.76 บาท/หน่วย