วานนี้(2ก.พ.54) โรงแรมโฟร์วิงส์ ศรีนครินทร์ สหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย(สสทท.) จัดงานสัมมนา เรื่อง อนาคตการท่องเที่ยวไทย…ในทศวรรษหน้า โดยมี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ร่วมปาฐกถาโดยกล่าวว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ที่กำลังจะเกิดขึ้น ถือเป็นตัวอย่างของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมของประเทศเพื่อรองรับการเติบโตและเป็นการส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวที่จะเติบโตนับจากนี้ไปอีก 10 ปีข้างหน้า
ล่าสุดรัฐบาลได้ทยอยลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมในระบบราง เชื่อมต่อกรุงเทพฯและปริมณฑล รัศมีระยะยทาง 200 ก.ม. ส่วนโครงการรถไฟความเร็วสูง ไทย-จีน จากหนองคาย-กรุงเทพฯ-ชายแดนมาเลเซีย หากสามารถตกลงกันได้ภายในปีนี้ คาดว่าอีก 4 ปี ก็จะได้เห็นและใช้บริการ ซึ่งภาคธุรกิจท่องเที่ยว
สร้างเงินตราเข้าประเทศคิดเป็น 7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
จากสถิติที่ผ่านมา อัตราขยายตัวของนักท่องเที่ยวที่ผ่านมาเฉลี่ยปีละ 7.5% รายได้เพิ่มปีละ 11% มั่นใจว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทยและรายได้ จะเติบโตกว่าขณะนี้อีกเท่าตัว
“แม้จำนวนนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มเติบโตมาก แต่การใช้จ่ายอาจไม่เพิ่มมากเท่าจำนวน ดังนั้นจึงควรส่งเสริมตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ ไม่เน้นจำนวน และแก้ไขจุดอ่อนที่เรามีอยู่ ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมาปัญหาของไทยคือความวุ่นวายทางการเมือง “
นายปองพล อดิเรกสาร อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องการเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวระยะ5 ปี ไปปฎิบัติให้เป็นรูปธรรม สิ่งสำคัญคือ งบประมาณซึ่งดูจากแผนเห็นว่าต้องพึงงบจากหลายกระทรวง ซึ่งมีหลายพรรคการเมืองดูแลอยู่จึงไม่ต้องการเห็นการแบ่งพรรคแบ่งพวก ในการทำงาน
นายอรรคพล สรสุชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) กล่าวว่า ในอนาคตจะต้องแข่งขันกันในเรื่องของ กรีนโปรดักส์ ซึ่งมองว่าหากประเทศใด หรือหน่วยงานใด แสดงออกถึงความใส่ใจสิ่งแวดล้อม จะยิ่งเกิดความได้เปรียบทางการแข่งขัน ซึ่งอุตสาหกรรมไมซ์ก็หนีไม่พ้นประเด็นกรีนโปรดักส์เช่นกัน ซึ่งปัจจุบันอุตสาหกรรมไมซ์ นำนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย 12-13%ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่เดินทางมา และอีก 3 ปีข้างหน้า คาดเติบโตอีก 15-20%
นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)กล่าวว่า ภาวะโลกร้อน สถานการณน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งสองปัจจัยนี้มีผลต่อการท่องเที่ยวสูงสุด ซึ่งอนาคตเมื่อเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) เชื่อว่าการเดินทางเชื่อมโยงในภูมิภาคอาเซียน จะมีจำนวนไม่แพ้กับยุโรป
ล่าสุดรัฐบาลได้ทยอยลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมในระบบราง เชื่อมต่อกรุงเทพฯและปริมณฑล รัศมีระยะยทาง 200 ก.ม. ส่วนโครงการรถไฟความเร็วสูง ไทย-จีน จากหนองคาย-กรุงเทพฯ-ชายแดนมาเลเซีย หากสามารถตกลงกันได้ภายในปีนี้ คาดว่าอีก 4 ปี ก็จะได้เห็นและใช้บริการ ซึ่งภาคธุรกิจท่องเที่ยว
สร้างเงินตราเข้าประเทศคิดเป็น 7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
จากสถิติที่ผ่านมา อัตราขยายตัวของนักท่องเที่ยวที่ผ่านมาเฉลี่ยปีละ 7.5% รายได้เพิ่มปีละ 11% มั่นใจว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทยและรายได้ จะเติบโตกว่าขณะนี้อีกเท่าตัว
“แม้จำนวนนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มเติบโตมาก แต่การใช้จ่ายอาจไม่เพิ่มมากเท่าจำนวน ดังนั้นจึงควรส่งเสริมตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ ไม่เน้นจำนวน และแก้ไขจุดอ่อนที่เรามีอยู่ ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมาปัญหาของไทยคือความวุ่นวายทางการเมือง “
นายปองพล อดิเรกสาร อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องการเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวระยะ5 ปี ไปปฎิบัติให้เป็นรูปธรรม สิ่งสำคัญคือ งบประมาณซึ่งดูจากแผนเห็นว่าต้องพึงงบจากหลายกระทรวง ซึ่งมีหลายพรรคการเมืองดูแลอยู่จึงไม่ต้องการเห็นการแบ่งพรรคแบ่งพวก ในการทำงาน
นายอรรคพล สรสุชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) กล่าวว่า ในอนาคตจะต้องแข่งขันกันในเรื่องของ กรีนโปรดักส์ ซึ่งมองว่าหากประเทศใด หรือหน่วยงานใด แสดงออกถึงความใส่ใจสิ่งแวดล้อม จะยิ่งเกิดความได้เปรียบทางการแข่งขัน ซึ่งอุตสาหกรรมไมซ์ก็หนีไม่พ้นประเด็นกรีนโปรดักส์เช่นกัน ซึ่งปัจจุบันอุตสาหกรรมไมซ์ นำนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย 12-13%ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่เดินทางมา และอีก 3 ปีข้างหน้า คาดเติบโตอีก 15-20%
นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)กล่าวว่า ภาวะโลกร้อน สถานการณน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งสองปัจจัยนี้มีผลต่อการท่องเที่ยวสูงสุด ซึ่งอนาคตเมื่อเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) เชื่อว่าการเดินทางเชื่อมโยงในภูมิภาคอาเซียน จะมีจำนวนไม่แพ้กับยุโรป
