ASTVผู้จัดการรายวัน - เอชเอสบีซีเปิดมุมมองเศรษฐกิจไทยปี 54 ยังโตต่อเนื่องแม้ปัจจัยการเมืองยังถ่วงอยู่บ้าง คาดทั้งปีโต 5.3% ห่วงราคาน้ำมันสูงระยะยาวทำเงินเฟ้อแตะ 4% ชี้แบงก์ชาติยังต้องใช้นโยบายการเงินเข้มงวดต่อ คาดสิ้นปีดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 3%
นายเวลเลียน วิรานโต นักเศรษฐศาสตร์ ประจำภูมิภาคเอเชีย ธนาคาร เอชเอสบีซี ประเทศไทย (HSBC) เปิดเผยถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2554 ว่า จะยังคงเติบโตได้ต่อเนื่องจากปีก่อน โดยรับผลดีจากการเติบโตของภาคส่งออก รวมถึงการบริโภคเอกชนที่ยังขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แม้ว่าจะยังมีความวิตกเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการเมือง แต่เท่าที่ผ่านมา ในช่วงเหตุรุนแรงทางการเมืองเมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค.ปีก่อนเศรษฐกิจไทยก็ผ่านพ้นมาได้ และมีภูมิต้านทานในระดับหนึ่ง จึงคาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะเติบโตได้ในระดับ 5.3%
"ประเด็นการเลือกตั้งที่คาดว่าจะมีขึ้นในกลางปีนี้ ซึ่งการที่พรรคฝ่ายค้านพร้อมที่จะยอมรับผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นนั้น ประเด็นนี้น่าจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคและนักธุรกิจและจะส่งผลดีต่อการบริโภค-การลงทุนไปด้วย"
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ยังหลายฝ่ายเป็นห่วงคงเป็นเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหลังจากที่เกิดสถานการณ์ความรุนแรงในประเทศแถบตะวันออกกลาง ทำให้ราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในครึ่งแรกปีนี้ เงินเฟ้อจะอยู่ที่ประมาณ 3.2% และทั้งปีจะขยายตัวอยู่ที่ 3.8% ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง จากทิศทางราคาน้ำมันและราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในปัจจุบันระดับของอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับที่ไม่สูงนักเนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยมาตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อนเพื่อดูแลอัตราเงินเฟ้อ ขณะที่นโยบายของภาครัฐที่มีนโยบายการพยุงราคาสินค้าไว้ในระยะสั้น
**ห่วงน้ำมันพุ่งเงินเฟ้อแตะ4%**
นายวิรานโตกล่าวอีกว่า หากราคาน้ำมันยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น ทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เป็นระยะเวลา 3-4 เดือน ก็เชื่อว่าจะเป็นแรงผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น โดยคาดว่าทั้งปีก็อาจจะมีสิทธิแตะ 4% ซึ่งหากมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศหลังจากการเลือกตั้งในช่วงกลางปี ก็จะเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลังอีกด้วย
สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น จากการประเมินเบื้องต้นคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการพิจารณาปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น อีก 3 ครั้ง ในปีนี้ โดยคาดว่าสิ้นปีจะแตะที่ระดับ 3% ปัจจุบันที่อยู่ระดับ 2.25% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่เหมาะสมในการดูแลความเสี่ยงจากปัญหาเงินเฟ้อและการควบคุมราคาสินค้า แต่ก็จะเป็นการปรับเพิ่มแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
"ค่าเงินบาทและเงินเฟ้อของไทยขณะนี้เมื่อเทียบกับประเทศในเอเชีย ถือว่ายังอยู่ในระดับเดียวกัน จึงทำให้ไม่เสียเปรียบด้านการค้าระหว่างประเทศ และเชื่อว่าธปท.จะสามารถควบคุมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ผันผวนจนเกินไปได้ ซึ่งปัญหาเงินเฟ้อยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ประเทศในภูมิภาคต้องเผชิญ ดังนั้น ธนาคารกลางแต่ละประเทศจำเป็นต้องเพิ่มความเข้มงวดด้านนโยบายทางการเงินต่อไป"
นายเวลเลียน วิรานโต นักเศรษฐศาสตร์ ประจำภูมิภาคเอเชีย ธนาคาร เอชเอสบีซี ประเทศไทย (HSBC) เปิดเผยถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2554 ว่า จะยังคงเติบโตได้ต่อเนื่องจากปีก่อน โดยรับผลดีจากการเติบโตของภาคส่งออก รวมถึงการบริโภคเอกชนที่ยังขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แม้ว่าจะยังมีความวิตกเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการเมือง แต่เท่าที่ผ่านมา ในช่วงเหตุรุนแรงทางการเมืองเมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค.ปีก่อนเศรษฐกิจไทยก็ผ่านพ้นมาได้ และมีภูมิต้านทานในระดับหนึ่ง จึงคาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะเติบโตได้ในระดับ 5.3%
"ประเด็นการเลือกตั้งที่คาดว่าจะมีขึ้นในกลางปีนี้ ซึ่งการที่พรรคฝ่ายค้านพร้อมที่จะยอมรับผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นนั้น ประเด็นนี้น่าจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคและนักธุรกิจและจะส่งผลดีต่อการบริโภค-การลงทุนไปด้วย"
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ยังหลายฝ่ายเป็นห่วงคงเป็นเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหลังจากที่เกิดสถานการณ์ความรุนแรงในประเทศแถบตะวันออกกลาง ทำให้ราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในครึ่งแรกปีนี้ เงินเฟ้อจะอยู่ที่ประมาณ 3.2% และทั้งปีจะขยายตัวอยู่ที่ 3.8% ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง จากทิศทางราคาน้ำมันและราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในปัจจุบันระดับของอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับที่ไม่สูงนักเนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยมาตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อนเพื่อดูแลอัตราเงินเฟ้อ ขณะที่นโยบายของภาครัฐที่มีนโยบายการพยุงราคาสินค้าไว้ในระยะสั้น
**ห่วงน้ำมันพุ่งเงินเฟ้อแตะ4%**
นายวิรานโตกล่าวอีกว่า หากราคาน้ำมันยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น ทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เป็นระยะเวลา 3-4 เดือน ก็เชื่อว่าจะเป็นแรงผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น โดยคาดว่าทั้งปีก็อาจจะมีสิทธิแตะ 4% ซึ่งหากมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศหลังจากการเลือกตั้งในช่วงกลางปี ก็จะเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลังอีกด้วย
สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น จากการประเมินเบื้องต้นคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการพิจารณาปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น อีก 3 ครั้ง ในปีนี้ โดยคาดว่าสิ้นปีจะแตะที่ระดับ 3% ปัจจุบันที่อยู่ระดับ 2.25% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่เหมาะสมในการดูแลความเสี่ยงจากปัญหาเงินเฟ้อและการควบคุมราคาสินค้า แต่ก็จะเป็นการปรับเพิ่มแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
"ค่าเงินบาทและเงินเฟ้อของไทยขณะนี้เมื่อเทียบกับประเทศในเอเชีย ถือว่ายังอยู่ในระดับเดียวกัน จึงทำให้ไม่เสียเปรียบด้านการค้าระหว่างประเทศ และเชื่อว่าธปท.จะสามารถควบคุมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ผันผวนจนเกินไปได้ ซึ่งปัญหาเงินเฟ้อยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ประเทศในภูมิภาคต้องเผชิญ ดังนั้น ธนาคารกลางแต่ละประเทศจำเป็นต้องเพิ่มความเข้มงวดด้านนโยบายทางการเงินต่อไป"