ASTVผู้จัดการรรายวัน - แบงก์ชาติแถลงเศรษฐกิจปลายปี 53 อุปสงค์ในประเทศแผ่ว มั่นใจระยะต่อไปจะสดใสทั้งการบริโภค-การลงทุน ขณะที่เฉพาะเดือน ธ.ค.จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ 1.8 ล้านคน พบเงินไหลเข้าในส่วนภาคธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารลักษณะเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเข้าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ส่วนเงินบาทตลอดปี 53 แข็งค่าขึ้น 8.25%
นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจในช่วงปลายปีอย่างเดือนธ.ค.ยังขยายตัวต่อเนื่องจากแรงส่งภาคส่งออกและการท่องเที่ยว แม้ในส่วนอุปสงค์ในประเทศชะลอตัวลงบ้าง และการผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวเป็นผลจากฐานที่สูง จึงเชื่อว่าเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยตลอดทั้งปี 53 คาดว่าจะขยายตัว 8% แม้ปัจจัยลบหลายด้านและเป็นแรงส่งที่ดีต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในปี54 ต่อไป
“แม้อุปสงค์ในประเทศหดตัวลงในเดือนนี้ จากเดิมมองไว้ว่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 54 ชดเชยการส่งออกหดตัวลงตามความต้องการประเทศคู่ค้าและการนำเข้าสูงขึ้น ทำให้ปีนี้การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มลดลง แต่เชื่อว่าเป็นการปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติมากกว่า อีกทั้งเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจในอนาคตก็ไม่ได้เห็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัว ทำให้ ธปท.ไม่ได้ห่วงประเด็นนี้”
ทั้งนี้ ในเดือนธ.ค.การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวในอัตราชะลอลงอยู่ที่ 3.8% โดยปริมาณการจำหน่ายยานยนต์ขยายตัว 26.9% โดยเฉพาะรถยนต์นั่งที่มียอดจำหน่ายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 41,431 คัน และมีแนวโน้มจะขยายตัวดีขึ้นตามยอดจองในมหกรรมยานยนต์เมื่อเดือนธ.ค.ที่สูงถึง 33,058 คัน ซึ่งคาดว่าจะทยอยส่งมอบในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า โดยปัจจัยสนับสนุนจากรายได้เกษตรกรที่ดี และอัตราดอกเบี้ย อัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำ และในระยะต่อไปคาดว่าการบริโภคดีขึ้นตามแนวโน้มรายได้ของภาคครัวเรือน
ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนชะลออยู่ที่ 11% มีการชะลอในเครื่องชี้การลงทุนทุกหมวด โดยเฉพาะหมวดก่อสร้างจากพื้นที่รับอนุญาตอาคารชุดในเขตกรุงเทพ อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจทั้งในและอีก 3 เดือนข้างหน้ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี สะท้อนแนวโน้มการลงทุนในอนาคตที่จะขยายตัวได้ตามแผนการลงทุนของภาคธุรกิจที่ยังมีต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการสินค้าทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งมีการขยายไปยังตลาดใหม่ แต่จะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากฐานที่ปรับสูงขึ้น
สำหรับอุปสงค์ในต่างประเทศ การส่งออกมีมูลค่า 17,220 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 18.6% ในทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตรยางพาราและมันสำปะหลัง การนำเข้ามีมูลค่า 15,911 ล้านเหรียญหรือขยายตัวชะลอลง 8.8% ส่วนหนึ่งจากฐานเดือนเดียวกันปีก่อนอยู่ในระดับสูงสุดในรอบปี ทำให้ดุลการค้าเกินดุล 1,310 ล้านเหรียญ
และดุลบริการ รายได้ และเงินโอนเกินดุล 441 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นผลจากรายได้ท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์อยู่ที่ 1.8 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน เอเชียใต้ และรัสเซีย ทำให้ตลอดทั้งปี 53 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีทั้งสิ้น 16 ล้านคน และอัตราการเข้าพักอยู่ที่ระดับ 50.1%
นายเมธีกล่าวว่า เฉพาะเดือนธ.ค.มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าสุทธิ 801 ล้านเหรียญ โดยส่วนใหญ่เป็นเงินไหลเข้าทั้งการเข้ามาซื้อพันธบัตร ธปท.และภาครัฐ 976 ล้านเหรียญสหรัฐ และ73 ล้านเหรียญตามลำดับ ภาคธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารมีเงินไหลเข้า 488 ล้านเหรียญ ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งเป็นเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นสำคัญ และภาครัฐวิสาหกิจมีเงินไหลเข้า 186 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ในส่วนของภาคธนาคารมีเงินไหลออก 922 ล้านเหรียญจากการชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น ทำให้ทั้งปีก่อนมีเงินทุนไหลเข้า 15,210 ล้านเหรียญ
“ตลอดปี 53 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 31.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้น 8.25% จากปีก่อนตามการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเข้ามาลงทุนในหลักทรัพย์ไทยและภูมิภาค” นายเมธีกล่าว.
นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจในช่วงปลายปีอย่างเดือนธ.ค.ยังขยายตัวต่อเนื่องจากแรงส่งภาคส่งออกและการท่องเที่ยว แม้ในส่วนอุปสงค์ในประเทศชะลอตัวลงบ้าง และการผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวเป็นผลจากฐานที่สูง จึงเชื่อว่าเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยตลอดทั้งปี 53 คาดว่าจะขยายตัว 8% แม้ปัจจัยลบหลายด้านและเป็นแรงส่งที่ดีต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในปี54 ต่อไป
“แม้อุปสงค์ในประเทศหดตัวลงในเดือนนี้ จากเดิมมองไว้ว่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 54 ชดเชยการส่งออกหดตัวลงตามความต้องการประเทศคู่ค้าและการนำเข้าสูงขึ้น ทำให้ปีนี้การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มลดลง แต่เชื่อว่าเป็นการปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติมากกว่า อีกทั้งเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจในอนาคตก็ไม่ได้เห็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัว ทำให้ ธปท.ไม่ได้ห่วงประเด็นนี้”
ทั้งนี้ ในเดือนธ.ค.การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวในอัตราชะลอลงอยู่ที่ 3.8% โดยปริมาณการจำหน่ายยานยนต์ขยายตัว 26.9% โดยเฉพาะรถยนต์นั่งที่มียอดจำหน่ายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 41,431 คัน และมีแนวโน้มจะขยายตัวดีขึ้นตามยอดจองในมหกรรมยานยนต์เมื่อเดือนธ.ค.ที่สูงถึง 33,058 คัน ซึ่งคาดว่าจะทยอยส่งมอบในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า โดยปัจจัยสนับสนุนจากรายได้เกษตรกรที่ดี และอัตราดอกเบี้ย อัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำ และในระยะต่อไปคาดว่าการบริโภคดีขึ้นตามแนวโน้มรายได้ของภาคครัวเรือน
ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนชะลออยู่ที่ 11% มีการชะลอในเครื่องชี้การลงทุนทุกหมวด โดยเฉพาะหมวดก่อสร้างจากพื้นที่รับอนุญาตอาคารชุดในเขตกรุงเทพ อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจทั้งในและอีก 3 เดือนข้างหน้ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี สะท้อนแนวโน้มการลงทุนในอนาคตที่จะขยายตัวได้ตามแผนการลงทุนของภาคธุรกิจที่ยังมีต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการสินค้าทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งมีการขยายไปยังตลาดใหม่ แต่จะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากฐานที่ปรับสูงขึ้น
สำหรับอุปสงค์ในต่างประเทศ การส่งออกมีมูลค่า 17,220 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 18.6% ในทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตรยางพาราและมันสำปะหลัง การนำเข้ามีมูลค่า 15,911 ล้านเหรียญหรือขยายตัวชะลอลง 8.8% ส่วนหนึ่งจากฐานเดือนเดียวกันปีก่อนอยู่ในระดับสูงสุดในรอบปี ทำให้ดุลการค้าเกินดุล 1,310 ล้านเหรียญ
และดุลบริการ รายได้ และเงินโอนเกินดุล 441 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นผลจากรายได้ท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์อยู่ที่ 1.8 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน เอเชียใต้ และรัสเซีย ทำให้ตลอดทั้งปี 53 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีทั้งสิ้น 16 ล้านคน และอัตราการเข้าพักอยู่ที่ระดับ 50.1%
นายเมธีกล่าวว่า เฉพาะเดือนธ.ค.มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าสุทธิ 801 ล้านเหรียญ โดยส่วนใหญ่เป็นเงินไหลเข้าทั้งการเข้ามาซื้อพันธบัตร ธปท.และภาครัฐ 976 ล้านเหรียญสหรัฐ และ73 ล้านเหรียญตามลำดับ ภาคธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารมีเงินไหลเข้า 488 ล้านเหรียญ ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งเป็นเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นสำคัญ และภาครัฐวิสาหกิจมีเงินไหลเข้า 186 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ในส่วนของภาคธนาคารมีเงินไหลออก 922 ล้านเหรียญจากการชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น ทำให้ทั้งปีก่อนมีเงินทุนไหลเข้า 15,210 ล้านเหรียญ
“ตลอดปี 53 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 31.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้น 8.25% จากปีก่อนตามการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเข้ามาลงทุนในหลักทรัพย์ไทยและภูมิภาค” นายเมธีกล่าว.