**ตลาดหุ้นเอเชียพากันปิดตลาดในแดนลบ เนื่องจากเหตุการณ์ประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่ทวีความรุนแรงในอียิปต์ได้กระตุ้นให้นักลงทุนทั่วโลกเทขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง รวมถึงหุ้น โดยดัชนีนิกเกอิที่โตเกียว ปิดตลาดลงดลง 122.42 จุด ปิดที่ 10,237.92 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือน คอมโพสิตตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดตลาดปรับตัวลดลง 38.14 จุด ปิดที่ระดับ 2,069.73 จุด ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวลดลง 169.68 จุด ปิดที่ระดับ 23,447.34 จุด ส่วนดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดที่ 964.10 ลดลง 17.73 โดยมีปริมาณการซื้อขายกว่า 2.1 หมื่นล้านบาท***
งานนี้ขุนคลัง “กรณ์ จาติกวณิช” ออกมายอมรับว่านักลงทุนกังวลกับสถานการณ์ในอียิปต์ เนื่องจากเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการขนส่งน้ำมันหลักของโลกผ่านคลองสุเอซ หากมีปัญหาลุกลามมากกว่านี้จะส่งผลกระทบกับราคาน้ำมันในตลาดโลกจึงทำให้นักลงทุนแตกตื่น
โดยกรณ์ได้กล่าวในการบรรยายพิเศษเรื่อง “บทบาทของกระทรวงการคลังในยุคโลกาภิวัตน์” ในการการอบรมหลักสูตรนักบริหารการคลัง (นบค.) รุ่นที่ 2 ณ สมาคมธรรมศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ว่า **“พื้นฐานที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทยจะสามารถรับมือกับปัญหานี้ได้อย่างแน่นอน”**
และรัฐบาลเองพร้อมดูแลราคาสินค้า ที่อาจได้รับผลกระทบจากราคา น้ำมันที่เพิ่มขึ้น และดูแลรายได้ของประชาชน ให้รองรับกับราคาสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้น อยู่แล้ว ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้แสดงความเชื่อมั่นที่จะเข้าดูแลเสถียรภาพราคา จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยถึง 3 รอบ ซึ่งได้มีการประสานงานกับกระทรวงการคลัง และหน่วยงานด้านเศรษฐกิจอื่นๆ เพื่อดูแลไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก
ทางฝั่งแบงก์ชาติ **“เมธี สุภาพงษ์”** ผอ.อาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ก็ได้สำทับในเรื่องพื้นฐานที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทยเช่นกันโดยระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจในเดือนธ.ค. 2553 ที่ผ่านยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง ตามปัจจัยของภาคส่งออกและการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวได้ดีเป็นสำคัญ
***โดยสรุปแล้วฝั่งบางขุนพรหมมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันกับกระทรวงการคลังว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังขยายตัวได้ดี แม้เดือนนี้อุปสงค์ในประเทศและการลงทุนจะลดลงบ้าง แต่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนยังอยู่ในระดับที่สูง ทำให้แนวโน้มการขยายตัวในปีนี้ยังดี ...***
ด้านแบงก์กรุงไทยรีบสนองนโยบายประชาวิวัฒน์ของรัฐบาล จัดโครงการสินเชื่อแท๊กซี่ไทยเข้มแข็งเตรียมเงิน 500 ล้านบาท เพื่อปล่อยกู้ให้กับสหกรณ์แท๊กซี่ โดยคิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.65 % ต่อปี เพื่อให้นำไปปล่อยกู้ต่อให้กับสมาชิกผ่อนชำระภายในระยะเวลา 5 ปี โดยคาดว่าจะเริ่มปล่อยสินเชื่อได้ช่วงกลางเดือน ก.พ.นี้
นอกจากนี้ธนาคารยังได้ตั้งวงเงินเพิ่มอีก 700 ล้านบาท เพื่อใช้ขยายเงินกู้ให้กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่ธนาคารดูแลอยู่ จำนวนกว่า 700 แห่ง ซึ่งทำให้สามารถปล่อยกู้เพิ่มให้กับสมาชิกและลดการพึ่งพาเงินกู้นอกระบบ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนไมโครไฟแนนซ์ ผ่านองค์กรการเงินที่มีวงเงินกับธนาคาร
**ตั้งแต่อดีตปลัด “สถิตย์ ลิ่มพงษ์พันธ์” เกษียณอายุไปนั่งเป็นประธานบอร์ดกรุงไทยไทยเต็มตัว ไม่ว่าขุนคลังมีนโยบายอะไรออกมา พี่ถิตย์จัดให้ตามต้องการทันที !**
งานนี้ขุนคลัง “กรณ์ จาติกวณิช” ออกมายอมรับว่านักลงทุนกังวลกับสถานการณ์ในอียิปต์ เนื่องจากเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการขนส่งน้ำมันหลักของโลกผ่านคลองสุเอซ หากมีปัญหาลุกลามมากกว่านี้จะส่งผลกระทบกับราคาน้ำมันในตลาดโลกจึงทำให้นักลงทุนแตกตื่น
โดยกรณ์ได้กล่าวในการบรรยายพิเศษเรื่อง “บทบาทของกระทรวงการคลังในยุคโลกาภิวัตน์” ในการการอบรมหลักสูตรนักบริหารการคลัง (นบค.) รุ่นที่ 2 ณ สมาคมธรรมศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ว่า **“พื้นฐานที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทยจะสามารถรับมือกับปัญหานี้ได้อย่างแน่นอน”**
และรัฐบาลเองพร้อมดูแลราคาสินค้า ที่อาจได้รับผลกระทบจากราคา น้ำมันที่เพิ่มขึ้น และดูแลรายได้ของประชาชน ให้รองรับกับราคาสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้น อยู่แล้ว ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้แสดงความเชื่อมั่นที่จะเข้าดูแลเสถียรภาพราคา จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยถึง 3 รอบ ซึ่งได้มีการประสานงานกับกระทรวงการคลัง และหน่วยงานด้านเศรษฐกิจอื่นๆ เพื่อดูแลไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก
ทางฝั่งแบงก์ชาติ **“เมธี สุภาพงษ์”** ผอ.อาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ก็ได้สำทับในเรื่องพื้นฐานที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทยเช่นกันโดยระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจในเดือนธ.ค. 2553 ที่ผ่านยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง ตามปัจจัยของภาคส่งออกและการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวได้ดีเป็นสำคัญ
***โดยสรุปแล้วฝั่งบางขุนพรหมมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันกับกระทรวงการคลังว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังขยายตัวได้ดี แม้เดือนนี้อุปสงค์ในประเทศและการลงทุนจะลดลงบ้าง แต่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนยังอยู่ในระดับที่สูง ทำให้แนวโน้มการขยายตัวในปีนี้ยังดี ...***
ด้านแบงก์กรุงไทยรีบสนองนโยบายประชาวิวัฒน์ของรัฐบาล จัดโครงการสินเชื่อแท๊กซี่ไทยเข้มแข็งเตรียมเงิน 500 ล้านบาท เพื่อปล่อยกู้ให้กับสหกรณ์แท๊กซี่ โดยคิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.65 % ต่อปี เพื่อให้นำไปปล่อยกู้ต่อให้กับสมาชิกผ่อนชำระภายในระยะเวลา 5 ปี โดยคาดว่าจะเริ่มปล่อยสินเชื่อได้ช่วงกลางเดือน ก.พ.นี้
นอกจากนี้ธนาคารยังได้ตั้งวงเงินเพิ่มอีก 700 ล้านบาท เพื่อใช้ขยายเงินกู้ให้กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่ธนาคารดูแลอยู่ จำนวนกว่า 700 แห่ง ซึ่งทำให้สามารถปล่อยกู้เพิ่มให้กับสมาชิกและลดการพึ่งพาเงินกู้นอกระบบ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนไมโครไฟแนนซ์ ผ่านองค์กรการเงินที่มีวงเงินกับธนาคาร
**ตั้งแต่อดีตปลัด “สถิตย์ ลิ่มพงษ์พันธ์” เกษียณอายุไปนั่งเป็นประธานบอร์ดกรุงไทยไทยเต็มตัว ไม่ว่าขุนคลังมีนโยบายอะไรออกมา พี่ถิตย์จัดให้ตามต้องการทันที !**