ASTVผู้จัดการรายวัน-บอร์ดการบินไทยเมิน"คมนาคม"ไฟเขียวลงนามสัญญาร่วมทุนตั้ง"ไทยไทเกอร์"แล้ว ระบุเริ่มดำเนินการทันทีหลังคมนาคม-สศช.อนุมัติงบ "ปิยะสวัสดิ์"เผยส่งข้อมูลต่างๆ ให้คมนาคมตามร้องขอแล้ว รวมถึงคำยืนยันจากคลังเรื่องร่วมทุนไม่เข้าพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 35 "สุพจน์"อัดกลับ ไม่รับรู้ เซ็นสัญญาร่วมทุน ชี้แผนยังไม่ผ่านสศช. ชี้การบินไทยเซ็นเองมีปัญหาก็ต้องรับผิดชอบเอง
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการจัดตั้งสายการบินไทยไทยเกอร์ ว่า คณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ได้ห็นชอบสัญญาร่วมทุน ( Shareholders’ Agreement ) และได้มีการลงนามในสัญญาร่วมทุนดังกล่าวแล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มีการทำ MOU สดงเจตนาการศึกษาแผนธุรกิจร่วมกัน ระหว่าง บริษัทฯกับ ไทยเกอร์แอร์เวย์ส โดยสัญญาดังกล่าวเป็นการตกลงร่วมกันระหว่างผู้ถือหุ้นในการดำเนินการด้านต่างๆ เช่น การจัดตั้งบริษัท การขออนุญาตจากกรมการบินพลเรือน(บพ.) และการจัดหาเครื่องบิน เป็นต้น ส่วนการจัดตั้งบริษัท ไทย ไทเกอร์ แอร์เวย์ส จำกัด จะดำเนินการได้ทันทีเมื่อได้รับอนุมัติงบลงทุนจากกระทรวงคมนาคม และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
โดย โครงสร้างการร่วมทุนประกอบด้วย บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 49.9 % บริษัท ไทเกอร์ แอร์เวย์สฮลดิ้ง จำกัด ( Tiger Airways Holding Limited ) ถือหุ้น 39.0 % บริษัท ไรอันไทย จำกัด ( RyanThai Limited ) ถือหุ้น 10.0 % และพนักงานของสายการบินไทยไทเกอร์ที่มีสัญชาติไทย 1.1%
นายปิยะสวัสดิ์กล่าวว่า ส่วนกรณีที่กระทรวงฃงคมนาคมได้เชิญบริษัทฯ เข้าหารือเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2554 และขอให้บริษัทฯ จัดส่งข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติมให้กับกระทรวงคมนาคมเพื่อประกอบการพิจารณางบประมาณในการจัดตั้งสายการบินไทยไทเกอร์ นั้นบริษัทฯ ได้ดำเนินการจัดส่งเอกสารให้เรียบร้อยแล้ว โดยในระหว่างนี้เป็นขั้นตอนรอการพิจารณาของกระทรวงคมนาคม เพื่อเสนอเรื่องให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ความเห็นก่อนดำเนินการ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2550 โดยเมื่อกระทรวงคมนาคมให้ความเห็นชอบ บริษัทฯ จะดำเนินการจัดตั้งบริษัทไทยไทเกอร์ แอร์เวย์ส จำกัด ต่อไป
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้กรมการบินพลเรือน (บพ.)เพื่อช่วยพิจารณาในเบื้องต้น รวมทั้งบริษัทฯ ยังได้ทำหนังสือหารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลังในประเด็นโครงการร่วมทุน เพื่อจัดตั้งสายการบินไทยไทเกอร์จะเข้าข่ายพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 หรือไม่ แล้ว ซึ่งขณะนี้ทางกระทรวงการคลังได้มีหนังสือชี้แจงเกี่ยวกับรายละเอียดของหลักเกณฑ์การพิจารณามายังบริษัทฯ เพื่อให้ความชัดเจน และบริษัทฯ ได้ดำเนินการส่งหนังสือดังกล่าวจากกระทรวงการคลังไปยังกระทรวงคมนาคมให้รับทราบแล้ว
ด้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคมกล่าวว่า กระทรวงยังไม่ได้รับทราบเรื่องที่การบินไทยลงนามในสัญญาร่วมกับตั้งสายการบินไทยไทเกอร์ เพราะตามขั้นตอนถือว่ากระทรวงฯยังไม่ได้อนุมัติให้ลงทุน จึงไม่ทราบว่าการบินไทยเอาเงินที่ไหนไปลงทุนเพราะขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ในแผนธุรกิจของสายการบืนไทยไทเกอร์ว่าเป็นไปได้หรือไม่ โดยเฉพาะรายรับ-รายจ่ายของสายการบินไทยไทเกอร์ นอกจากนี้การที่จะทำการบินได้หรือไม่เป็นอำนาจของรมว.คมนาคมที่จะลงนามอมุมัติโดย บพ.จะต้องเป็นผู้ตรวจสอบข้อมูลการบินก่อน แต่ขณะนี้ บพ.รายงานว่า การบินไทยส่งข้อมูลให้ไม่ครบ
"กระทรวงฯต้องตรวจสอบรายละเอียดการลงทุนทั้งหมด ก่อนส่งเรื่องไปสภาพัฒน์ฯ ถ้าส่งเรื่องไปโดยไม่ตรวจสอบให้ละเอียด ถ้าสภาพัฒน์ฯ สงสัยถามมาหรือบอกว่า เรื่องนี้ยังมีข้อที่ผิดพลาดอยู่ เราก็คงไม่สามารถแก้ตัวว่าไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลก่อนได้ เรื่องนี้กระทรวงไม่ได้ถ่วงเวลาอะไร แต่บพ.บอกว่าข้อมูลไม่ครบ ถ้าได้มาครบแล้วส่งเรื่องมาผมก็พร้อมจะเรียกประชุมเพื่อพิจารณาให้ทันที แต่ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการตั้งคำถาม และยังไม่ได้ส่งเรื่องไปสภาพัฒน์ฯ ดังนั้นถ้าการบินไทยไปเซ็นสัญญาแล้ว ก็เป็นเรื่องที่การบินไทยต้องรับผิดชอบเอง "นายสุพจน์กล่าว
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการจัดตั้งสายการบินไทยไทยเกอร์ ว่า คณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ได้ห็นชอบสัญญาร่วมทุน ( Shareholders’ Agreement ) และได้มีการลงนามในสัญญาร่วมทุนดังกล่าวแล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มีการทำ MOU สดงเจตนาการศึกษาแผนธุรกิจร่วมกัน ระหว่าง บริษัทฯกับ ไทยเกอร์แอร์เวย์ส โดยสัญญาดังกล่าวเป็นการตกลงร่วมกันระหว่างผู้ถือหุ้นในการดำเนินการด้านต่างๆ เช่น การจัดตั้งบริษัท การขออนุญาตจากกรมการบินพลเรือน(บพ.) และการจัดหาเครื่องบิน เป็นต้น ส่วนการจัดตั้งบริษัท ไทย ไทเกอร์ แอร์เวย์ส จำกัด จะดำเนินการได้ทันทีเมื่อได้รับอนุมัติงบลงทุนจากกระทรวงคมนาคม และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
โดย โครงสร้างการร่วมทุนประกอบด้วย บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 49.9 % บริษัท ไทเกอร์ แอร์เวย์สฮลดิ้ง จำกัด ( Tiger Airways Holding Limited ) ถือหุ้น 39.0 % บริษัท ไรอันไทย จำกัด ( RyanThai Limited ) ถือหุ้น 10.0 % และพนักงานของสายการบินไทยไทเกอร์ที่มีสัญชาติไทย 1.1%
นายปิยะสวัสดิ์กล่าวว่า ส่วนกรณีที่กระทรวงฃงคมนาคมได้เชิญบริษัทฯ เข้าหารือเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2554 และขอให้บริษัทฯ จัดส่งข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติมให้กับกระทรวงคมนาคมเพื่อประกอบการพิจารณางบประมาณในการจัดตั้งสายการบินไทยไทเกอร์ นั้นบริษัทฯ ได้ดำเนินการจัดส่งเอกสารให้เรียบร้อยแล้ว โดยในระหว่างนี้เป็นขั้นตอนรอการพิจารณาของกระทรวงคมนาคม เพื่อเสนอเรื่องให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ความเห็นก่อนดำเนินการ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2550 โดยเมื่อกระทรวงคมนาคมให้ความเห็นชอบ บริษัทฯ จะดำเนินการจัดตั้งบริษัทไทยไทเกอร์ แอร์เวย์ส จำกัด ต่อไป
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้กรมการบินพลเรือน (บพ.)เพื่อช่วยพิจารณาในเบื้องต้น รวมทั้งบริษัทฯ ยังได้ทำหนังสือหารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลังในประเด็นโครงการร่วมทุน เพื่อจัดตั้งสายการบินไทยไทเกอร์จะเข้าข่ายพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 หรือไม่ แล้ว ซึ่งขณะนี้ทางกระทรวงการคลังได้มีหนังสือชี้แจงเกี่ยวกับรายละเอียดของหลักเกณฑ์การพิจารณามายังบริษัทฯ เพื่อให้ความชัดเจน และบริษัทฯ ได้ดำเนินการส่งหนังสือดังกล่าวจากกระทรวงการคลังไปยังกระทรวงคมนาคมให้รับทราบแล้ว
ด้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคมกล่าวว่า กระทรวงยังไม่ได้รับทราบเรื่องที่การบินไทยลงนามในสัญญาร่วมกับตั้งสายการบินไทยไทเกอร์ เพราะตามขั้นตอนถือว่ากระทรวงฯยังไม่ได้อนุมัติให้ลงทุน จึงไม่ทราบว่าการบินไทยเอาเงินที่ไหนไปลงทุนเพราะขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ในแผนธุรกิจของสายการบืนไทยไทเกอร์ว่าเป็นไปได้หรือไม่ โดยเฉพาะรายรับ-รายจ่ายของสายการบินไทยไทเกอร์ นอกจากนี้การที่จะทำการบินได้หรือไม่เป็นอำนาจของรมว.คมนาคมที่จะลงนามอมุมัติโดย บพ.จะต้องเป็นผู้ตรวจสอบข้อมูลการบินก่อน แต่ขณะนี้ บพ.รายงานว่า การบินไทยส่งข้อมูลให้ไม่ครบ
"กระทรวงฯต้องตรวจสอบรายละเอียดการลงทุนทั้งหมด ก่อนส่งเรื่องไปสภาพัฒน์ฯ ถ้าส่งเรื่องไปโดยไม่ตรวจสอบให้ละเอียด ถ้าสภาพัฒน์ฯ สงสัยถามมาหรือบอกว่า เรื่องนี้ยังมีข้อที่ผิดพลาดอยู่ เราก็คงไม่สามารถแก้ตัวว่าไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลก่อนได้ เรื่องนี้กระทรวงไม่ได้ถ่วงเวลาอะไร แต่บพ.บอกว่าข้อมูลไม่ครบ ถ้าได้มาครบแล้วส่งเรื่องมาผมก็พร้อมจะเรียกประชุมเพื่อพิจารณาให้ทันที แต่ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการตั้งคำถาม และยังไม่ได้ส่งเรื่องไปสภาพัฒน์ฯ ดังนั้นถ้าการบินไทยไปเซ็นสัญญาแล้ว ก็เป็นเรื่องที่การบินไทยต้องรับผิดชอบเอง "นายสุพจน์กล่าว
