ASTVผู้จัดการรายวัน-นักวิเคราะห์ ชี้ ตลาดหุ้นไทยปีนี้ผันผวนแรงจากเงินทุนไหลออก แนะนักลงทุนปรับพอร์ตหากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาดี -เฟดไม่ต่อมาตรการคิวอี 3 ขณะที่เงินเฟ้อ ดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น หุ้นน่าสนใจกลุ่มพลังงาน สินค้าโภคภัณฑ์
นางสาววราภรณ์ วิบูลย์คณารักษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีซีมิโก้ จำกัด (มหาชน)หรือ KTZ เปิดเผยว่า การลงทุนในปีนี้จะยากกว่าปีที่ผ่านมาจากที่ภาวะตลาดหุ้นจะมีความผันผวนสูงจากการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ จากปัจจัยเศรษฐกิจของสหรัฐเป็นหลัก ซึ่งนักลงทุนจะต้องมีการติดตามว่าเศรษฐกิจของสหรัฐจะมีการปรับตัวในทิศทางใด โดยหากตัวเลขยอดขายบ้าน และตัวเลขการว่างงานของสรัฐออกมาดีนั้นเป็นสัญญาณนักลงทุนต่างประเทศจะมีการขายหุ้นไทยออกไป
นอกจากนี้จะต้องติดตามท่าทีของทางธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ว่าจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE3)หรือไม่ จากที่ QE2 จะหมดในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งหากไม่มีการต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็จะทำให้มีเม็ดเงินไหลกลับไปสหรัฐฯจากมีความน่าสนใจการลงทุนจากที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงต่ำมา 2 ปี และราคาสินทรัพย์ปรับตัวลดลงมาต่ำ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยในเอเซียได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันมา 2 ปี แล้ว
“ปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศนั้นถือว่าไม่น่ากังวลจากจีดีพีเติบโตในระดับที่ดี 4-5 % แม้จะโตลดลงจากปีก่อน แต่ปัจจัยที่กังวลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นคือ เรื่องเม็ดเงินลงทุนไหลกลับสหรัฐ หากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐปรับตัวดีขึ้น ซึ่งนักลงทุนสังเกตได้หากยอดขายบ้านโต การว่างงานลดเป็นสัญญาที่เงินจะไหลออก จากเอเซีย มีปัญหาจากเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ทำให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้น ตาม ทำให้ตลาดหุ้นในเอเซียผันผวนจนกว่าที่อัตราเงินเฟ้อจะถึงจุดสูงสุด ” นางสาววราภรณ์ กล่าว
ทั้งนี้จากการที่เศรษฐกิจไทยปีนี้จะโต 4-5% นั้น ซึ่งบริษัทประเมินว่าดัชนีที่เหมาะสมปีนี้จะอยู่ที่ 1,030 จุด ซึ่งตั้งแต่เดือนมีนาคม ปัจจัยเศรษฐกิจของสหรัฐจะมีผลทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนสูงมาก ทำให้ดัชนีอาจมีการปรับฐานลดลงมา 4-5 % หรือปรับตัวลดลงอยู่ที่ 900 จุด จากการที่ที่ราคาน้ำมันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงนั้น ทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยคาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ 3% นั้นมีผลทำให้อัตราดอกเบี้ยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น นั้นมีผลดีต่อการลงทุนในหุ้นบางกลุ่ม เช่น หุ้นกลุ่มพลังงาน สินค้าโภคภัณฑ์ ค้าปลีก ซึ่งหากธุรกิจไหนสามารถที่จะปรับราคาขายได้โดยที่ปริมาณการซื้อไม่ลดลงนั้นก็จะทำให้มีการปรับตัวดีกว่าตลาด
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KTZ กล่าวว่า ประเด็นที่นักลงทุนจะต้องมีการติดตามที่จะมีผลต่อการเติบโตเศรษฐกิจซึ่งจะมีผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นเรื่อง ทิศทางราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อ ซึ่งคาดว่าปีนี้อัตราเงินเฟ้อจะสูงกว่า 3% จากปีที่ผ่านม3.3% ซึ่งจะมีผลทำให้อัตราดอกเบี้ยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยบริษัทคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายปีนี้คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 3% ซึ่งปรับตัวขึ้นดอกเบี้ยนั้นไม่น่ากังวล เพราะ จะทำให้อัตราดกเบี้ยกลับสู่ภาวะปกติ
ทั้งนี้จากที่มีปัจจัยลบดังกล่าวนั้นส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยบริษัทแนะนำลงทุนในหุ้น บ้านปู ซึ่งบริษัทมองว่าราคาหุ้นแม้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาสูง แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่เพง จากที่บริษัทมีรายได้เติบโตต่อเนื่อง หุ้น ปตท.สผจากได้ผลดีจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ไทยออยล์ ยอดขายมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในกลุ่มและค่าการกลั่นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
นางสาววราภรณ์ วิบูลย์คณารักษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีซีมิโก้ จำกัด (มหาชน)หรือ KTZ เปิดเผยว่า การลงทุนในปีนี้จะยากกว่าปีที่ผ่านมาจากที่ภาวะตลาดหุ้นจะมีความผันผวนสูงจากการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ จากปัจจัยเศรษฐกิจของสหรัฐเป็นหลัก ซึ่งนักลงทุนจะต้องมีการติดตามว่าเศรษฐกิจของสหรัฐจะมีการปรับตัวในทิศทางใด โดยหากตัวเลขยอดขายบ้าน และตัวเลขการว่างงานของสรัฐออกมาดีนั้นเป็นสัญญาณนักลงทุนต่างประเทศจะมีการขายหุ้นไทยออกไป
นอกจากนี้จะต้องติดตามท่าทีของทางธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ว่าจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE3)หรือไม่ จากที่ QE2 จะหมดในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งหากไม่มีการต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็จะทำให้มีเม็ดเงินไหลกลับไปสหรัฐฯจากมีความน่าสนใจการลงทุนจากที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงต่ำมา 2 ปี และราคาสินทรัพย์ปรับตัวลดลงมาต่ำ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยในเอเซียได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันมา 2 ปี แล้ว
“ปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศนั้นถือว่าไม่น่ากังวลจากจีดีพีเติบโตในระดับที่ดี 4-5 % แม้จะโตลดลงจากปีก่อน แต่ปัจจัยที่กังวลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นคือ เรื่องเม็ดเงินลงทุนไหลกลับสหรัฐ หากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐปรับตัวดีขึ้น ซึ่งนักลงทุนสังเกตได้หากยอดขายบ้านโต การว่างงานลดเป็นสัญญาที่เงินจะไหลออก จากเอเซีย มีปัญหาจากเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ทำให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้น ตาม ทำให้ตลาดหุ้นในเอเซียผันผวนจนกว่าที่อัตราเงินเฟ้อจะถึงจุดสูงสุด ” นางสาววราภรณ์ กล่าว
ทั้งนี้จากการที่เศรษฐกิจไทยปีนี้จะโต 4-5% นั้น ซึ่งบริษัทประเมินว่าดัชนีที่เหมาะสมปีนี้จะอยู่ที่ 1,030 จุด ซึ่งตั้งแต่เดือนมีนาคม ปัจจัยเศรษฐกิจของสหรัฐจะมีผลทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนสูงมาก ทำให้ดัชนีอาจมีการปรับฐานลดลงมา 4-5 % หรือปรับตัวลดลงอยู่ที่ 900 จุด จากการที่ที่ราคาน้ำมันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงนั้น ทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยคาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ 3% นั้นมีผลทำให้อัตราดอกเบี้ยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น นั้นมีผลดีต่อการลงทุนในหุ้นบางกลุ่ม เช่น หุ้นกลุ่มพลังงาน สินค้าโภคภัณฑ์ ค้าปลีก ซึ่งหากธุรกิจไหนสามารถที่จะปรับราคาขายได้โดยที่ปริมาณการซื้อไม่ลดลงนั้นก็จะทำให้มีการปรับตัวดีกว่าตลาด
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KTZ กล่าวว่า ประเด็นที่นักลงทุนจะต้องมีการติดตามที่จะมีผลต่อการเติบโตเศรษฐกิจซึ่งจะมีผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นเรื่อง ทิศทางราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อ ซึ่งคาดว่าปีนี้อัตราเงินเฟ้อจะสูงกว่า 3% จากปีที่ผ่านม3.3% ซึ่งจะมีผลทำให้อัตราดอกเบี้ยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยบริษัทคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายปีนี้คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 3% ซึ่งปรับตัวขึ้นดอกเบี้ยนั้นไม่น่ากังวล เพราะ จะทำให้อัตราดกเบี้ยกลับสู่ภาวะปกติ
ทั้งนี้จากที่มีปัจจัยลบดังกล่าวนั้นส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยบริษัทแนะนำลงทุนในหุ้น บ้านปู ซึ่งบริษัทมองว่าราคาหุ้นแม้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาสูง แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่เพง จากที่บริษัทมีรายได้เติบโตต่อเนื่อง หุ้น ปตท.สผจากได้ผลดีจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ไทยออยล์ ยอดขายมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในกลุ่มและค่าการกลั่นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น