ASTVผู้จัดการรายวัน - บอสใหญ่ปูนกลางมั่นใจตลาดปูนซิเมนต์ปีกระต่ายทองยอดใช้เติบโต 7-10% รับอานิสงส์เมกะโปรเจกต์ภาครัฐหนุน ชี้โรงปูนซิเมนต์ใหม่ กำลังการผลิตเพียงพอรองรับตลาดในกัมพูชา ระบุราคาปูนยังไม่ขยับ
นายฟิลิป อาร์โต้ กรรมการผู้จัดการและประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC ประเมินถึงสถานการณ์ตลาดปูนซิเมนต์ในประเทศปี 2554 ว่า จะเติบโต 7-10% จากปีก่อนที่มีปริมาณการใช้ 25-26 ล้านตัน โดยปัจจัยหนึ่งประเมินว่า ยังจะเป็นการลงทุนของภาครัฐที่จะมีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีการเริ่มใช้ปูนซิเมนต์ในปีนี้ ส่วนตลาดบ้านและคอนโดฯที่เป็นตัวผลักดันให้ตลาดปี 53 เติบโตในรอบหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะคอนโดฯมีการเติบโตสูงกว่าความต้องการจริง ก็จะเริ่มเข้าสู่รูปแบบการเก็งกำไร
" ปีนี้คาดว่าปริมาณการใช้ปูนในประเทศจะกลับไปสูงสุดเหมือนปี 2549 เพราะอัตราการเติบโตเศรษฐกิจยังโตต่อเนื่อง เพราะมีการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ มองแนวโน้มปีนี้ทิศทางยังเป็นบวกต่ออุตสาหกรรม "นายฟิลิป กล่าว
สำหรับการลงทุนใหม่นั้น ภายในปี 54 คาดว่าจะตัดสินใจได้ว่าจะมีการลงทุนก่อสร้างโรงปูนซิเมนต์ที่ประเทศกัมพูชาหรือไม่ โดยหากสร้างก็มีกำลังการผลิต 1-1.5 หมื่นล้านตัน เพียงพอกับตลาดภายในประเทศกัมพูชา
นอกจากนั้น บริษัทยังสนใจการเข้าลงทุนโรงปูนซิเมนต์ในนิคมอุตสาหกรรมทวายของพม่า แต่คาดว่ายังต้องใช้เวลาในการศึกษาอย่างน้อย 1 ปีถึง 1 ปีครึ่ง เนื่องจากหากบริษัทเข้าไปลงทุนก็จำเป็นต้องหาพันธมิตร และศึกษารายละเอียดให้ดีก่อน แต่บริษัทเชื่อว่าในแผนระยะยาว 5 ปีจะเห็นการก่อสร้างโรงปูนซิเมนต์ในประเทศพม่าหรือกัมพูชาแห่งใดแห่งหนึ่ง
ด้านน.ส.จันทนา สุขุมานนท์ รองประธานคณะผู้บริหาร ด้านการตลาดและการขายบริษัทฯ กล่าวว่า ในช่วงต้นปี 54 พบว่ายอดขายปูนซิเมนต์ในประเทศยังไม่เติบโตมากนัก ขณะที่ช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนๆ ปกติจะเป็นช่วงที่ยอดขายปูนดี สาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมาจากภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง หน้าฝนมีระยะเวลายาวนานและน้ำท่วมต่อเนื่องทั่วทุกภูมิภาค จนกระทั่งปัจจุบันภาคใต้ก็ประสบปัญหาน้ำท่วม ขณะที่ภาคอีสานซึ่งเป็นตลาดหลักของ SCCC กำลังประสบภาวะภัยหนาว ทำให้ความต้องการใช้ปูนเพื่อการก่อสร้างล่าช้าออกไป
ส่วนราคาขายปูนบริษัทยังไม่ได้มีการปรับราคาเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะยังไม่ถึงเพดานสูงสุดที่กระทรวงพาณิชย์(พณ.)กำหนดที่ 2,350 บาท/ตัน แต่ยอมรับว่าปูนถุงขายได้ราคาดีขึ้น เนื่องจากบริษัทให้ส่วนลดกับผู้ค้าส่งน้อยลง
น.ส.จันทนา กล่าวถึงต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งน้ำมันและถ่านหินว่า ส่งผลกระทบต่อบริษัท เพราะต้นทุนพลังงานคิดเป็น 70% ของต้นทุนทั้งหมด และยังมีผลกระทบด้านขนส่งที่มีต้นทุนเพิ่มขึ้น แม้ว่าบริษัทจะมีการใช้บริษัทอื่นเป็นผู้ขนส่งก็ตาม
" ต้นทุนของการผลิตปูนในประเทศปรับขึ้นสูงมากจากราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้นทุกตัว แต่เราก็ไม่สามารถขยับราคาได้ โดยเพดานขั้นสูงที่กำหนด 2,350 บาท ไม่ได้มีการปรับเพิ่มขึ้นเลย "
นายฟิลิป อาร์โต้ กรรมการผู้จัดการและประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC ประเมินถึงสถานการณ์ตลาดปูนซิเมนต์ในประเทศปี 2554 ว่า จะเติบโต 7-10% จากปีก่อนที่มีปริมาณการใช้ 25-26 ล้านตัน โดยปัจจัยหนึ่งประเมินว่า ยังจะเป็นการลงทุนของภาครัฐที่จะมีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีการเริ่มใช้ปูนซิเมนต์ในปีนี้ ส่วนตลาดบ้านและคอนโดฯที่เป็นตัวผลักดันให้ตลาดปี 53 เติบโตในรอบหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะคอนโดฯมีการเติบโตสูงกว่าความต้องการจริง ก็จะเริ่มเข้าสู่รูปแบบการเก็งกำไร
" ปีนี้คาดว่าปริมาณการใช้ปูนในประเทศจะกลับไปสูงสุดเหมือนปี 2549 เพราะอัตราการเติบโตเศรษฐกิจยังโตต่อเนื่อง เพราะมีการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ มองแนวโน้มปีนี้ทิศทางยังเป็นบวกต่ออุตสาหกรรม "นายฟิลิป กล่าว
สำหรับการลงทุนใหม่นั้น ภายในปี 54 คาดว่าจะตัดสินใจได้ว่าจะมีการลงทุนก่อสร้างโรงปูนซิเมนต์ที่ประเทศกัมพูชาหรือไม่ โดยหากสร้างก็มีกำลังการผลิต 1-1.5 หมื่นล้านตัน เพียงพอกับตลาดภายในประเทศกัมพูชา
นอกจากนั้น บริษัทยังสนใจการเข้าลงทุนโรงปูนซิเมนต์ในนิคมอุตสาหกรรมทวายของพม่า แต่คาดว่ายังต้องใช้เวลาในการศึกษาอย่างน้อย 1 ปีถึง 1 ปีครึ่ง เนื่องจากหากบริษัทเข้าไปลงทุนก็จำเป็นต้องหาพันธมิตร และศึกษารายละเอียดให้ดีก่อน แต่บริษัทเชื่อว่าในแผนระยะยาว 5 ปีจะเห็นการก่อสร้างโรงปูนซิเมนต์ในประเทศพม่าหรือกัมพูชาแห่งใดแห่งหนึ่ง
ด้านน.ส.จันทนา สุขุมานนท์ รองประธานคณะผู้บริหาร ด้านการตลาดและการขายบริษัทฯ กล่าวว่า ในช่วงต้นปี 54 พบว่ายอดขายปูนซิเมนต์ในประเทศยังไม่เติบโตมากนัก ขณะที่ช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนๆ ปกติจะเป็นช่วงที่ยอดขายปูนดี สาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมาจากภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง หน้าฝนมีระยะเวลายาวนานและน้ำท่วมต่อเนื่องทั่วทุกภูมิภาค จนกระทั่งปัจจุบันภาคใต้ก็ประสบปัญหาน้ำท่วม ขณะที่ภาคอีสานซึ่งเป็นตลาดหลักของ SCCC กำลังประสบภาวะภัยหนาว ทำให้ความต้องการใช้ปูนเพื่อการก่อสร้างล่าช้าออกไป
ส่วนราคาขายปูนบริษัทยังไม่ได้มีการปรับราคาเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะยังไม่ถึงเพดานสูงสุดที่กระทรวงพาณิชย์(พณ.)กำหนดที่ 2,350 บาท/ตัน แต่ยอมรับว่าปูนถุงขายได้ราคาดีขึ้น เนื่องจากบริษัทให้ส่วนลดกับผู้ค้าส่งน้อยลง
น.ส.จันทนา กล่าวถึงต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งน้ำมันและถ่านหินว่า ส่งผลกระทบต่อบริษัท เพราะต้นทุนพลังงานคิดเป็น 70% ของต้นทุนทั้งหมด และยังมีผลกระทบด้านขนส่งที่มีต้นทุนเพิ่มขึ้น แม้ว่าบริษัทจะมีการใช้บริษัทอื่นเป็นผู้ขนส่งก็ตาม
" ต้นทุนของการผลิตปูนในประเทศปรับขึ้นสูงมากจากราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้นทุกตัว แต่เราก็ไม่สามารถขยับราคาได้ โดยเพดานขั้นสูงที่กำหนด 2,350 บาท ไม่ได้มีการปรับเพิ่มขึ้นเลย "