นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บมจ.แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยถึงภาพรวมในการดำเนินธุรกิจว่า ในปีที่ผ่านมาผล
ประกอบการของบริษัท น่าจะมีรายได้และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปี52 แม้ผลดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี53 จะมีกำไรสุทธิเพียง 824 ล้านบาท
ซึ่งต่ำกว่า งวด9เดือนแรกในปี 52 ที่มีกำไร 1,009 ล้านบาทก็ตาม เนื่องจากในปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการทำบัญชี จึงทำให้ตัวเลข
กำไรสุทธิที่แสดงลดลง แต่ในไตรมาสสุดท้ายของปี บริษัทจะรับยอดโอนบ้านและคอนโดมิเนียมที่เปิดขายถึงประมาณ 5-6 พันล้านบาท
จากBacklog ทั้งหมดกว่า 3 หมื่นล้านบาท จึงเชื่อว่าจะช่วยผลักดันรายได้และกำไรปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น
สำหรับ เป้าหมายในปี 54 บริษัทตั้งเป้าตัวเลขรายได้และกำไรสุทธิจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 10% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นการทำสถิติสูง
สุดใหม่ เช่นเดียวกับอัตรากำไรขั้นต้นที่จะขยับขึ้นมาเป็น 33% จากเดิมที่ระดับ 32% โดย SIRI มีแผนจะเปิดโครงการใหม่ 23 โครงการ มูลค่ารวม
3 หมื่นล้านบาท เน้นโครงการคอนโดมิเนียม คาดว่าจะใช้เงินลงทุนในการซื้อที่ดิน 5 พันล้านบาท และงบในการก่อสร้าง 1.5 หมื่นล้านบาท รวม
ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท
หากพิจารณาเฉพาะงบซื้อที่ดิน จะพบว่าบริษัทเริ่มปรับลดงบดังกล่าวลง เห็นได้จากงบลงทุนใช้ซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการในปี
ก่อนอยู่ระดับ 9 พันล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะขยายการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ เพื่อจับกลุ่มคนไทยที่ไปเรียนต่อ จากที่
ผ่านมาได้เลือกลงทุนในอังกฤษไปแล้ว และ มีแผนจะไปโรดโชว์นักลงทุนสถาบันที่สิงคโปร์และฮ่องกงช่วงต้นเดือน มี.ค.นี้ โดยจะร่วมเดินทาง
ไปกับ บล.ซีไอเอ็มบีไทย
นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ในช่วง 3 ปีจากนี้ เฉลี่ยโตปีละ 20% โดยคาดว่าในปี 56 รายได้จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 3.5
หมื่นล้านบาท ส่วนอัตรากำไรสุทธินั้น ผู้บริหารเชื่อว่าน่าจะเติบโตสอดคล้องไปกับรายได้ที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งบริษัทจะหันกลับมาลุย
ตลาดบนเพิ่มขึ้น จากปีก่อนที่เน้นไปจับตลาดล่างหลายโครงการแล้ว
"Backlog ของเรามีประมาณ 3หมื่นล้านบาท ปี53 รับรู้ไปแล้วในช่วงไตรมาส4ประมาณ 5.5 พันล้านบาท แต่ปีนี้จะรับรู้ประมาณ 8.5
พันล้านบาท ปี 55 จะรับรู้ประมาณ 8.8 พันล้านบาท และปี56 จะรับรู้ประมาณ 7.9 พันล้านบาท การปรับบัญชีแบบใหม่ มีผลืให้หนี้สินต่อทุนของ
เราเปลี่ยนไปงวด9เดือนปี53 อยู่ที่ 1.74 เท่า แต่สิ้นปีน่าจะปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเมื่อมีการโอนยอดรับรู้หนี้สินต่อทุนก็จะลดลงตามไป
ด้วย ซึ่งเรามั่นใจว่าตลอดทั้งปีนี้เราสามารถควบคุมได้ให้ไม่เกิน 2.0 เท่าแน่ W
ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนที่จะเสนอคณะกรรมการพิจารณายกเลิกแผน เพิ่มทุน โดยการยกเลิกหุ้นที่เหลืออยู่ซึ่งยังไม่เสนอขาย โดย
เห็นว่าบริษัทจะใช้เงินจาก การดำเนินงาน เพื่อมาขยายธุรกิจแทนการเพิ่มทุน รวมถึงขออนุมัติวงเงินการออกหุ้นกู้ มูลค่าราว 3 พันล้านบาทด้วย
ล่าสุด บริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่"CEIL by Sansiri" (ซีลบาย แสนสิริ)ซึ่งนับเป็นคอนโดมิเนียมโครงการแรกของปีนี้ มูลค่ารวม
1,700 ล้านบาท โดยจะจัดงาน Pre-Sale เพื่อเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 5-6 มีนาคมนี้ ที่Ver tical Living Gallery ในราคา เริ่ม
ต้นเพียง 2.6 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี หลังจากพบว่าตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้
แล้วกว่า2,500 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยมาตรการ LTV ที่ประกาศใช้สำหรับที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมตั้งแต่ช่วงต้นปี
ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการขายคอนโดมิเนียมของบริษัทแต่อย่างใด
ส่วนแหล่งเงินทุนที่จะใช้ในการพัฒนาโครงการนั้น ทางผู้บริหารระบุว่า ปัจจุบัน บริษัทมีกระแสเงินสดประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่ง
นับว่าเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ ขณะเดียวกันในส่วนที่เหลือจะใช้วิธีของสินเชื่อจากสถาบันการเงินในแบบโครงการต่อโครงการ ซึ่งเรตอัตรา
ดอกเบี้ยที่ได้รับอยู่ในปัจจุบัน ยืนยันว่าต่ำกว่าการออกหุ้นกู้ ขณะที่ต้นทุนค้าใช้จ่ายทางธุรกิจ เนื่องจากเป็นบริษัทขนาดใหญ่ ทำให้มีการควบคุมค่า
ใช้จ่ายที่ดี โดยมีการล็อกราคาวัสดุที่สำคัญไว้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาแล้ว เช่นราคาปูนซีเมนต์ และ เหล็ก
ประกอบการของบริษัท น่าจะมีรายได้และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปี52 แม้ผลดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี53 จะมีกำไรสุทธิเพียง 824 ล้านบาท
ซึ่งต่ำกว่า งวด9เดือนแรกในปี 52 ที่มีกำไร 1,009 ล้านบาทก็ตาม เนื่องจากในปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการทำบัญชี จึงทำให้ตัวเลข
กำไรสุทธิที่แสดงลดลง แต่ในไตรมาสสุดท้ายของปี บริษัทจะรับยอดโอนบ้านและคอนโดมิเนียมที่เปิดขายถึงประมาณ 5-6 พันล้านบาท
จากBacklog ทั้งหมดกว่า 3 หมื่นล้านบาท จึงเชื่อว่าจะช่วยผลักดันรายได้และกำไรปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น
สำหรับ เป้าหมายในปี 54 บริษัทตั้งเป้าตัวเลขรายได้และกำไรสุทธิจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 10% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นการทำสถิติสูง
สุดใหม่ เช่นเดียวกับอัตรากำไรขั้นต้นที่จะขยับขึ้นมาเป็น 33% จากเดิมที่ระดับ 32% โดย SIRI มีแผนจะเปิดโครงการใหม่ 23 โครงการ มูลค่ารวม
3 หมื่นล้านบาท เน้นโครงการคอนโดมิเนียม คาดว่าจะใช้เงินลงทุนในการซื้อที่ดิน 5 พันล้านบาท และงบในการก่อสร้าง 1.5 หมื่นล้านบาท รวม
ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท
หากพิจารณาเฉพาะงบซื้อที่ดิน จะพบว่าบริษัทเริ่มปรับลดงบดังกล่าวลง เห็นได้จากงบลงทุนใช้ซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการในปี
ก่อนอยู่ระดับ 9 พันล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะขยายการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ เพื่อจับกลุ่มคนไทยที่ไปเรียนต่อ จากที่
ผ่านมาได้เลือกลงทุนในอังกฤษไปแล้ว และ มีแผนจะไปโรดโชว์นักลงทุนสถาบันที่สิงคโปร์และฮ่องกงช่วงต้นเดือน มี.ค.นี้ โดยจะร่วมเดินทาง
ไปกับ บล.ซีไอเอ็มบีไทย
นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ในช่วง 3 ปีจากนี้ เฉลี่ยโตปีละ 20% โดยคาดว่าในปี 56 รายได้จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 3.5
หมื่นล้านบาท ส่วนอัตรากำไรสุทธินั้น ผู้บริหารเชื่อว่าน่าจะเติบโตสอดคล้องไปกับรายได้ที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งบริษัทจะหันกลับมาลุย
ตลาดบนเพิ่มขึ้น จากปีก่อนที่เน้นไปจับตลาดล่างหลายโครงการแล้ว
"Backlog ของเรามีประมาณ 3หมื่นล้านบาท ปี53 รับรู้ไปแล้วในช่วงไตรมาส4ประมาณ 5.5 พันล้านบาท แต่ปีนี้จะรับรู้ประมาณ 8.5
พันล้านบาท ปี 55 จะรับรู้ประมาณ 8.8 พันล้านบาท และปี56 จะรับรู้ประมาณ 7.9 พันล้านบาท การปรับบัญชีแบบใหม่ มีผลืให้หนี้สินต่อทุนของ
เราเปลี่ยนไปงวด9เดือนปี53 อยู่ที่ 1.74 เท่า แต่สิ้นปีน่าจะปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเมื่อมีการโอนยอดรับรู้หนี้สินต่อทุนก็จะลดลงตามไป
ด้วย ซึ่งเรามั่นใจว่าตลอดทั้งปีนี้เราสามารถควบคุมได้ให้ไม่เกิน 2.0 เท่าแน่ W
ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนที่จะเสนอคณะกรรมการพิจารณายกเลิกแผน เพิ่มทุน โดยการยกเลิกหุ้นที่เหลืออยู่ซึ่งยังไม่เสนอขาย โดย
เห็นว่าบริษัทจะใช้เงินจาก การดำเนินงาน เพื่อมาขยายธุรกิจแทนการเพิ่มทุน รวมถึงขออนุมัติวงเงินการออกหุ้นกู้ มูลค่าราว 3 พันล้านบาทด้วย
ล่าสุด บริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่"CEIL by Sansiri" (ซีลบาย แสนสิริ)ซึ่งนับเป็นคอนโดมิเนียมโครงการแรกของปีนี้ มูลค่ารวม
1,700 ล้านบาท โดยจะจัดงาน Pre-Sale เพื่อเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 5-6 มีนาคมนี้ ที่Ver tical Living Gallery ในราคา เริ่ม
ต้นเพียง 2.6 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี หลังจากพบว่าตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้
แล้วกว่า2,500 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยมาตรการ LTV ที่ประกาศใช้สำหรับที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมตั้งแต่ช่วงต้นปี
ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการขายคอนโดมิเนียมของบริษัทแต่อย่างใด
ส่วนแหล่งเงินทุนที่จะใช้ในการพัฒนาโครงการนั้น ทางผู้บริหารระบุว่า ปัจจุบัน บริษัทมีกระแสเงินสดประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่ง
นับว่าเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ ขณะเดียวกันในส่วนที่เหลือจะใช้วิธีของสินเชื่อจากสถาบันการเงินในแบบโครงการต่อโครงการ ซึ่งเรตอัตรา
ดอกเบี้ยที่ได้รับอยู่ในปัจจุบัน ยืนยันว่าต่ำกว่าการออกหุ้นกู้ ขณะที่ต้นทุนค้าใช้จ่ายทางธุรกิจ เนื่องจากเป็นบริษัทขนาดใหญ่ ทำให้มีการควบคุมค่า
ใช้จ่ายที่ดี โดยมีการล็อกราคาวัสดุที่สำคัญไว้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาแล้ว เช่นราคาปูนซีเมนต์ และ เหล็ก