แบงก์ชาติ เผย จีนปรับดอกเบี้ย มีผลต่อการส่งออก แต่ไม่มีผลต่อการตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย เพราะพิจารณาปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศมากกว่า ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าปิดที่ 30.74 เป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้น ขณะที่ปัญหาเขมรรบไทยยังไม่สะเทือนแบงก์ไทยในเขมร
นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีที่ธนาคารกลางจีนประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ครั้งล่าสุด เมื่อคืนวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา ว่า ทางการจีนปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ไม่ได้มีผลต่อการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย เนื่องจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะประเมินปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทย และทิศทางปัจจัยภายในประเทศเป็นหลักมากกว่าจะพิจารณาจากปัจจัยประเทศอื่น
ทั้งนี้ การขยับขึ้นดอกเบี้ยของทางการจีนครั้งนี้ก็เพิ่งเริ่มดำเนินการ จึงควรรอดูผลของตลาดสักระยะหนึ่งก่อน โดยในส่วนของไทยอาจจะได้รับผลกระทบตัวเลขการส่งออกลดลงบ้าง แต่ไม่ได้กระทบประมาณการมูลค่าการส่งออกของไทยโดยรวม ซึ่งปีนี้ ธปท.ประเมินไว้อยู่ที่ระดับ 11-14%
สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของทางการจีนครั้งเป็นการเลือกใช้เครื่องมือหนึ่งจากที่มีอยู่หลายประเภท เพื่อลดแรงกดดันของอัตราเงินเฟ้อ โดยทางการจีนมองว่าหากปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป อัตราเงินเฟ้ออาจจะเร่งตัวสูงขึ้น ทำให้เกิดความเสียหายได้ในที่สุด แต่หากดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไปก็จะช่วยให้ในระยะยาวเศรษฐกิจจีนสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
บาทอ่อนค่าตามทิศทางตลาดหุ้น
นักบริหารเงินธนาคารซีไอเอ็มบีไทย เปิดเผยค่าเงินบาท ว่า ปิดตลาดที่ระดับ 30.72/74 ปรับตัวอ่อนค่าตามทิศทางตลาดหุ้นโดยปรับตัวอ่อนค่าจากเปิดตลาดช่วงเช้าที่ระดับ 30.66/69 บาท/ดอลลาร์ แต่ยังเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันกับค่าเงินในภูมิภาค เป็นผลจากการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้น และการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของจีน
“เงินบาทน่าจะมีทิศทางอ่อนค่าตามจากแรงไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศบางส่วน พรุ่งนี้ (10 ก.พ.) คาดว่า จะเคลื่อนไหวในกรอบ 30.65-30.80 บาท/ดอลลาร์”
คาดสินเชื่อปีนี้โตตามเป้า 8%
นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท.กล่าวว่า ในปีนี้ ธนาคารพาณิชย์ไทยในระบบได้ตั้งเป้าหมายอัตราการขยายตัวสินเชื่อรวมไว้ที่ระดับ 8% โดยเป็นการประเมินตามอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปีนี้ และจากมุมมองของหลายสำนักที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องและขยายตัวได้ถึง 3-5% ขึ้นไป รวมถึงนำภาพรวมของสินเชื่อในปีผ่านมาประกอบการพิจารณาด้วย ซึ่งตลอดทั้งปี 53 ขยายตัวได้เป็นอย่างดีกว่า 11% จากช่วงต้นปีที่ผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ระดับ 10%
“แม้ปีนี้เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญปัจจัยเสี่ยงทั้งภายในและนอกประเทศ แต่เรามองว่าฐานะธนาคารพาณิชย์ขณะนี้ยังมีความแข็งแกร่งและมั่นคงอย่างมาก ขณะที่ปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในระบบก็ไม่ได้มีปัญหา ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2-3% เท่านั้น และปัจจุบันเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (บีไอเอส เรโช) ของแต่ละธนาคารก็อยู่ในระดับสูงกว่าเกณฑ์มาตรการฐานขั้นต่ำของ ธปท. จึงมองว่าปีนี้สินเชื่อน่าจะขยายตัวได้ดีตามภาวะเศรษฐกิจไทย ”
ยันเขมรรบไทยไม่กระทบแบงก์
รองผู้ว่าการ ธปท.กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของเหตุการณ์ขัดแย้งระหว่างไทยและเขมรในขณะนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินในพื้นที่ใกล้เคียงมากนัก อย่างไรก็ตาม ธปท.มีความเป็นห่วงหากเหตุการณ์ยืดเยื้อและไม่สามารถยุติได้โดยเร็วก็อาจจะกระทบต่อระบบเศรษฐกิจได้ แต่ก็มีความเชื่อว่าผู้ที่เกี่ยวข้องจะสามารถแก้ไขสถานการณ์เหล่านี้ไปได้ เพราะเป็นเรื่องที่ใครไม่อยากให้เกิดขึ้น และสุดท้ายก็เชื่อว่าไทยจะผ่านพ้นปัญหานี้ไปได้
นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีที่ธนาคารกลางจีนประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ครั้งล่าสุด เมื่อคืนวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา ว่า ทางการจีนปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ไม่ได้มีผลต่อการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย เนื่องจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะประเมินปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทย และทิศทางปัจจัยภายในประเทศเป็นหลักมากกว่าจะพิจารณาจากปัจจัยประเทศอื่น
ทั้งนี้ การขยับขึ้นดอกเบี้ยของทางการจีนครั้งนี้ก็เพิ่งเริ่มดำเนินการ จึงควรรอดูผลของตลาดสักระยะหนึ่งก่อน โดยในส่วนของไทยอาจจะได้รับผลกระทบตัวเลขการส่งออกลดลงบ้าง แต่ไม่ได้กระทบประมาณการมูลค่าการส่งออกของไทยโดยรวม ซึ่งปีนี้ ธปท.ประเมินไว้อยู่ที่ระดับ 11-14%
สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของทางการจีนครั้งเป็นการเลือกใช้เครื่องมือหนึ่งจากที่มีอยู่หลายประเภท เพื่อลดแรงกดดันของอัตราเงินเฟ้อ โดยทางการจีนมองว่าหากปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป อัตราเงินเฟ้ออาจจะเร่งตัวสูงขึ้น ทำให้เกิดความเสียหายได้ในที่สุด แต่หากดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไปก็จะช่วยให้ในระยะยาวเศรษฐกิจจีนสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
บาทอ่อนค่าตามทิศทางตลาดหุ้น
นักบริหารเงินธนาคารซีไอเอ็มบีไทย เปิดเผยค่าเงินบาท ว่า ปิดตลาดที่ระดับ 30.72/74 ปรับตัวอ่อนค่าตามทิศทางตลาดหุ้นโดยปรับตัวอ่อนค่าจากเปิดตลาดช่วงเช้าที่ระดับ 30.66/69 บาท/ดอลลาร์ แต่ยังเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันกับค่าเงินในภูมิภาค เป็นผลจากการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้น และการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของจีน
“เงินบาทน่าจะมีทิศทางอ่อนค่าตามจากแรงไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศบางส่วน พรุ่งนี้ (10 ก.พ.) คาดว่า จะเคลื่อนไหวในกรอบ 30.65-30.80 บาท/ดอลลาร์”
คาดสินเชื่อปีนี้โตตามเป้า 8%
นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท.กล่าวว่า ในปีนี้ ธนาคารพาณิชย์ไทยในระบบได้ตั้งเป้าหมายอัตราการขยายตัวสินเชื่อรวมไว้ที่ระดับ 8% โดยเป็นการประเมินตามอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปีนี้ และจากมุมมองของหลายสำนักที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องและขยายตัวได้ถึง 3-5% ขึ้นไป รวมถึงนำภาพรวมของสินเชื่อในปีผ่านมาประกอบการพิจารณาด้วย ซึ่งตลอดทั้งปี 53 ขยายตัวได้เป็นอย่างดีกว่า 11% จากช่วงต้นปีที่ผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ระดับ 10%
“แม้ปีนี้เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญปัจจัยเสี่ยงทั้งภายในและนอกประเทศ แต่เรามองว่าฐานะธนาคารพาณิชย์ขณะนี้ยังมีความแข็งแกร่งและมั่นคงอย่างมาก ขณะที่ปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในระบบก็ไม่ได้มีปัญหา ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2-3% เท่านั้น และปัจจุบันเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (บีไอเอส เรโช) ของแต่ละธนาคารก็อยู่ในระดับสูงกว่าเกณฑ์มาตรการฐานขั้นต่ำของ ธปท. จึงมองว่าปีนี้สินเชื่อน่าจะขยายตัวได้ดีตามภาวะเศรษฐกิจไทย ”
ยันเขมรรบไทยไม่กระทบแบงก์
รองผู้ว่าการ ธปท.กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของเหตุการณ์ขัดแย้งระหว่างไทยและเขมรในขณะนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินในพื้นที่ใกล้เคียงมากนัก อย่างไรก็ตาม ธปท.มีความเป็นห่วงหากเหตุการณ์ยืดเยื้อและไม่สามารถยุติได้โดยเร็วก็อาจจะกระทบต่อระบบเศรษฐกิจได้ แต่ก็มีความเชื่อว่าผู้ที่เกี่ยวข้องจะสามารถแก้ไขสถานการณ์เหล่านี้ไปได้ เพราะเป็นเรื่องที่ใครไม่อยากให้เกิดขึ้น และสุดท้ายก็เชื่อว่าไทยจะผ่านพ้นปัญหานี้ไปได้